วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ภัยร้ายจากภาวะไขมันแทรกตับ

ภัยร้ายจากภาวะไขมันแทรกตับ
        เมื่อกล่าวถึงภาวะไขมันแทรกตับ หรือไขมันเกาะตับ หลายๆคนอาจไม่เคยพบ และไม่เคยได้ยินและอาจมองเป็นเรื่องไกลตัวเพราะว่าภาวะนี้เป็นภาวะการเสียสมดุลทางสุขภาพของร่างกายที่ไม่มีอาการใดๆเลยในระยะเริ่มต้นถึงระยะกลางในการดำเนินของโรค
        แต่ในปัจจุบันนี้กลับพบว่าภาวะไขมันแทรกตับนี้เป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้คนไข้กลุ่มนี้กลายเป็นโรคตับแข็งหรือตับอักเสบเรื้อรังได้แม้ว่าคนไข้กลุ่มนี้จะเป็นคนที่ไม่เคยดื่มเหล้า ไม่เคยสูบบุหรี่ หรือไม่เคยมีประวัติรับเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดใดๆเลยก็ตาม



         ตับเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดของร่างกาย มีน้ำหนักประมาณ1,200-1,500 กรัม มีลักษณะภายนอกคล้ายปีรามิด อยู่ในช่องท้องช่วงใต้ชายโครงขวา และเป็นอวัยวะที่สำคัญกับชีวิตของเราอย่างมาก เพราะตับมีการทำงานที่สลับซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับการทำงานของร่างกายเราหลาย ๆ อย่างอาทิเช่น
1. ผลิตน้ำดี เผื่อใช้ในการย่อยและแตกตัว อาหารจำพวกไขมัน
2. สังเคราะห์สารสำคัญหลายชนิดที่จำเป็นในการทำงานของร่างกายอาทิเช่น กรดอะมิโน วิตามิน ฮอร์โมน
3. รักษาสมดุลด้านพลังงานและการเผาผลาญ และ เป็นแหล่งเก็บสะสมคาร์โบไฮเดรต วิตามิน และเกลือแร่
4. ทำหน้าที่ฟอกสารที่เป็นพิษที่ส่งมาทางเลือด เช่นของเสียจากการเผาผลาญของร่างกาย แอมโมเนีย เม็ดเลือดแดงที่หมดอายุแล้ว ตัวยาและสารพิษต่าง ๆ ที่ร่างกายรับเข้ามา
         โดยปกติแล้ว การทำงานของตับ หลายล้านๆเซลล์จะทำงานประสานงานกันอย่างดี และมีกลไกในการซ่อมแซมตัวเองที่ดีเยี่ยม และนี่จึงเป็นเหตุผลว่าการบาดเจ็บ หรือความเสื่อมที่เกิดขึ้นกับตับในช่วงแรกๆจะไม่มีอาการใดๆหรือค่าเคมีในเลือดใดๆที่เปลี่ยนแปลงมากนัก จนอาจทำให้เราละเลยที่จะดูแลตับของเราให้ดี


        หากแต่ว่ามีสาเหตุใดๆก็ตามที่ทำให้เซลล์ตับยังคงบาดเจ็บต่อเนื่องเช่น ติดเชื้อไวรัส การดื่มสุรา การใช้ยาเกินความจำเป็นอย่างต่อเนื่อง หรือแม้กระทั่งภาวะไขมันแทรกตับ ก็ล้วนเป็นสาเหตุที่ก่อการอักเสบและบาดเจ็บของเซลล์และเนื้อเยื่อตับได้ทั้งสิ้น
        จนเมื่อรอยโรคหรือพยาธิสภาพต่าง ๆ เริ่มมากขึ้นจนการทำงานของเซลล์ตับทำหน้าที่ชดเชยกัน
ไม่ไหวแล้ว ก็อาจตรวจพบค่าเอนไซม์ตับที่สูงขึ้นได้จากการอักเสบของเนื้อเยื่อตับ หรืออาจจะมีอาการแสดงออกมาภายนอก ไม่ว่าจะเป็นจุกเสียดใต้ชายโครงขวา ท้องอืดบ่อย ๆ อาหารไม่ย่อย , มีอาการอ่อนเพลียง่ายขึ้นจากการที่มีสารพิษคั่งในร่างกาย และการปรับสมดุลพลังงานและการเผาผลาญของร่างกายเสียไป ของเสียเช่น สารบิลิรูบิน จากเม็ดเลือดที่หมดอายุก็เกิดการคั่งในร่างกายทำให้มีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง มีอาการคันตามผิวหนังได้


          บางรายที่การทำงานของตับเสื่อมมากแล้ว อาจพบอาการบวมน้ำ เลือดออกง่ายผิดปกติ การทำงานของสมองผิดปกติสับสนง่าย , อาจตรวจพบหลอดเลือดฝอยบริเวณผิวหนังหน้าท้อง หรือหน้าอกโป่งตัวคล้ายใยแมงมุง , ภูมิต้านทานตกติดเชื้อง่าย และเสียชีวิตได้

สาเหตุของภาวะไขมันแทรกตับ
       1. ภาวะอ้วนลงพุง หรือที่เรียกว่ากลุ่มอาการเมทาบอลิก คนไข้กลุ่มนี้ตามสถิติถือเป็นคนไข้กลุ่มเสี่ยง และสามารถตรวจพบภาวะไขมันแทรกตับได้มากถึง 50 - 90% เกณท์ที่ใช้ในการวินิจฉัยภาวะอ้วนลงพุง
           ในคนไทย ผู้ชายถ้ามีรอบเอวมากกว่า 90 เซนติเมตร หรือ มากกว่า 80 เซนติเมตรในผู้หญิง ร่วมกับผลตรวจร่างกายซึ่งมักจะพบว่า
            - มีความดันโลหิตมากกว่าหรือเท่ากับ 130/85 มม.ปรอท
            - น้ำตาลในเลือดสูง ตั้งแต่ 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรขึ้นไป
            - ไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์สูง ตั้งแต่ 150 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรขึ้นไป
            - โคเลสเตอรอลชนิดดี (HDL cholesterol) ต่ำกว่า 40 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรสำหรับผู้ชาย หรือต่ำกว่า 50 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรสำหรับผู้หญิง
           อย่างใด อย่างหนึ่งข้างต้นนี้ เราก็สามารถจัดคนไข้กลุ่มนี้เป็นกลุ่มอาการเมทาบอลิกหรือภาวะอ้วนลงพุงแล้ว
          ไขมันภายในช่องท้อง ซึ่งอาจสะสมในเยื่อบุช่องท้อง หรือในเซลล์ตับ สามารถกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของเซลล์ตับ และเป็นต้นเหตุที่สำคัญของภาวะดื้ออินสุลินในคนไข้เบาหวานอีกด้วย

 

       2. สารพิษต่างๆที่มีผลกับเซลล์ตับ เช่น แอลกอฮอล์ , ยาฆ่าแมลงในผักและผลไม้ , ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAID เช่น Diclofenac , Ibuprofen , Naproxen  , ยาแก้ปวดลดไข้ Paracetamol , ยากดภูมิต้านทาน Methotrexate ซึ่งสารพิษและยาเหล่านี้โดยปกติแล้วร่างกายจะใช้ตับเป็นอวัยวะที่กำจัดสารพิษ แต่ถ้าร่างกายรับยาและสารพิษเหล่านี้มากเกินก็ทำให้เกิดการบาดเจ็ดของเซลล์ตับ และเกิดการแทรกตัวของชั้นไขมันเข้าไปในเนื้อเยื่อตับได้


      3. ภาวะลำไส้แปรปรวน มีงานวิจัยใหม่ๆค้นพบความสัมพันธ์ในผู้ป่วยที่มีอการของลำไส้แปรปรวนเช่น ท้องผูกประจำ หรือท้องเสียง่าย มักมีอุบัติการของภาวะไขมันแทรกตับมากขึ้น ซึ่งเชื่อกันว่ามาจากการเสียสมดุลของแบคทีเรียดีในทางเดินอาหาร ทำให้มีการเจริญของเชื้อโรคแปลกปลอมที่ผิดปกติเช่น ยีสต์ ราหรือแบคทีเรียตัวร้าย ที่ สามารถสร้างสารพิษกลุ่ม Endotoxins และแพร่เข้าไปในหลอดเลือดผ่านเยื่อบุลำไส้ที่อ่อนแอลง และไปมีผลต่อการบาดเจ็บหรืออักเสบของเซลล์ตับอีกทอดหนึ่ง




         ในปัจจุบัน นักวิจัยทางการแพทย์สาขาทางเดินอาหารเชื่อว่าภาวะไขมันแทรกตับ จะมีการพัฒนาของรอยโรคหรือพยาธิสภาพไปเป็นตับอักเสบ ตับแข็งหรือมะเร็งตับได้หรือไม่นั้น คงมาจากหลายๆปัจจัยร่วมหรือที่เรียกว่า Multihit theory การรักษาที่สุดคงต้องเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดหรือในระยะแรกของโรค เพราะยังเป็นช่วงที่ตับสมารถซ่อมแซมตัวเอง และอาจหายขาดจากภาวะไขมันแทรกตับได้ (Reversible stage)



แต่ถ้าเรารอจนมีอาการหรือรอยโรคเป็นมากจนตับแข็งไปแล้ว(Irreversible stage)
           การรักษาคงทำได้เพียงการประคับประคอง หรืออาจต้องใช้เทคนิคการผ่าตับเปลี่ยนตับซึ่งมีความยากอยู่ที่การหาอวัยวะที่จะเข้ากับร่างกายเราได้นั้นค่อนข้างยากนั่นเอง
            ด้วยเหตุผลที่ว่า ความรุนแรงภาวะไขมันแทรกตับนี้ เกิดจากหลายๆปัจจัย ในการดูแลและรักษาผู้ป่วยโรคนี้จึงต้องใช้แนวคิดการรักษาแบบบูรณาการและต้องได้รับความร่วมมือจากคนไข้อย่างดี ผลการรักษาถึงจะออกมาดี ดังนี้

        1. การปรับพฤติกรรมให้สอดคล้องกับสมดุลการเผาผลาญและนาฬิกาชีวิต เช่นหลีกเลี่ยงการนอนดึก ตื่นแต่เช้าเพื่อออกกำลังกายกระตุ้นฮอร์โมน ระบบการเผาผลาญและภูมิต้านทาน , ทานอาหารเช้าให้เต็มที่เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารให้ครบถ้วน , เคี้ยวอาหารนานเพื่อสนับสนุนระบบการย่อยอาหาร , เลือกอาหารให้เหมาะกับร่างกายหรือตามกรุ๊บเลือด ลดอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตหรือไขมันโดยเฉพาะในมื้ออาหารเย็น
         โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มการทำงานของระบบเผาผลาญของร่างกาย ในการสลาญไขมันส่วนเกินที่สะสมในช่องท้อง ในเนื้อเยื่อตับ และชั้นไขมันต่างๆ

        2. หลีกเลี่ยงการรับสารพิษทุกชนิดเข้าสู่ร่างกาย เช่น เลือกบริโภคผักผลไม้ออร์แกนิกส์ และควรล้างทำความสะอาดผักและผลไม้ทุกชนิดก่อนรับประทาน ,หลีกเลี่ยงการใช้ยาแก้ปวดต่างๆ ถ้าไม่จำเป็น,ลดการบริโภคเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์, เลิกสูบบุหรี่, เลือกใช้ผลิตภัณท์จากธรรมชาติมาเป็นเครื่องสำอางค์ หรือการทำสีผมมากกว่าใช้สารเคมีทั่วไป หลีกเลี่ยงการทานถั่วลิสงที่คั่วไว้นานแล้วเพราะอาจได้อัลฟ่าท็อกซินจากเชื้อราได้

        3. การเลือกใช้สารอาหารบำบัดเพื่อสนับสนุนการทำงานของเซลล์ตับ พบว่ามีงานวิจัยทางธรรมชาติบำบัติหลายอย่างกล่าวถึงสารอาหารจากธรรมชาติที่มีสารสำคัญในการสนับสนุนเอนไซม์ต่างๆของตับเพื่อขจัดสารพิษ อาทิเช่น silymarine ในสมุนไพร milk thistle, สารกลุ่ม Thiol ในกระเทียมสด หอมแดงหรือผักที่มีกลิ่นฉุนต่างๆเช่น คื่นช่าย, กรดอะมิโน เช่น cysteine ,glutamine,glutathione ทีมีส่วนสำคัญในการขจัดสารพิษออกจากตับ , สารต้านอนุมูลอิสระต่างๆเช่น vitamin C,vitamin E,co enzyme q10,selenium ,การใช้ probiotic ในการปรับสมดุลทางเดินอาหาร
         ซึ่งทั้งหมดถือว่าเป็นสารอาหารที่มีความสำคัญทั้งหมดที่จะทำงานประสานงานกันเหมือนวงดนตรีออเคสตร้า ในการช่วยสนับสนุนเซลล์ตับในการกำจัดสารพิษต่างๆ


      4. แนวทางการรักษาด้วยวิธีล้างพิษแบบธรรมชาติบำบัด เช่น การอดล้างพิษ,การสวนล้างลำไส้, การล้างสารพิษโลหะหนักที่เรียกว่าคีเลชั่นบำบัด ก็ถือเป็นช่องทางการดูแลสุขภาพทางเลือกที่หวังผลลดปริมาณสารพิษสะสมในร่างกายเพื่อแบ่งเบาภาระการทำงานของเซลล์ตับ

      5. การสนับสนุนการซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์ตับ เช่นการใช้ สารอาหารจำพวกเปปไทด์ หรือ ยากลุ่ม homeopathy ก็ถือเป็นแนวทางการรักษาแบบแพทย์ทางเลือกอีกทางที่หลายๆประเทศทางโซนยุโรป ใช้ควบคู่กับการรักษากับการแพทย์แขนงหลักและมีผลการตอบรับการฟื้นตัวของร่างกายค่อนข้างดี

          สำหรับผลการรักษานั้น หัวใจสำคัญคงอยู่ที่คนไข้ ที่มีความรู้ความเข้าใจถึงปัญหาที่เกิดขึ้นและพร้อมที่จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเองมีวินัยในการดูแลตัวเองที่ดี แพทย์คงทำหน้าที่เสมือนโค้ช ที่ช่วยอธิบาย วางแผนการดูแลและสนับสนุนด้านสุขภาพกับคนไข้ในด้านต่างๆทั้งร่างกาย และจิตใจ
       ขอเป็นกำลังใจให้ ผู้ที่มีภาวะไขมันแทรกตับทุกท่าน ให้อดทนต่อการดูแลและรักษา และเชื่อมั่นว่า สุขภาพดีเราเองก็มีได้เช่นกัน

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม                                                  

                                                
โค้ชเกมส์
Mobile : 092-645-4256
Line ID : kp156






2 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...

สารอาหารธรรมชาติที่ช่วยหงกระตุ้นตับขับพิษ เหล่านี้ เวลาเรากินเข้าไป จะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะไม่มีพิษปนไปกับสารอาหารธรรมชาติเหล่านี้คะ ก็รู้อยู่แล้วว่า ทุกวันนี้อาหารทุกคำที่เข้าปาก ล้วนมีสารพิษเจือปนอย่างหลีกเหลี่ยงมะได้ เซ็งจุง!!!!!

Unknown กล่าวว่า...

สารอาหารธรรมชาติที่ช่วยหงกระตุ้นตับขับพิษ เหล่านี้ เวลาเรากินเข้าไป จะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะไม่มีพิษปนไปกับสารอาหารธรรมชาติเหล่านี้คะ ก็รู้อยู่แล้วว่า ทุกวันนี้อาหารทุกคำที่เข้าปาก ล้วนมีสารพิษเจือปนอย่างหลีกเหลี่ยงมะได้ เซ็งจุง!!!!!

Promotion