วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2559

สารอาหารจำเป็นสำหรับโรคไต

โรคไต 
ไต เป็นอวัยวะที่เราเข้าใจกันว่ามีหน้าที่กรองของเสียออกจากร่างกาย แต่ยังมีหน้าที่มากกว่านั้น
1. ควบคุมปริมาณ น้ำ และเกลือแร่ ส่วนเกินออกจากเลือด เช่น โซเดียม โปแตสเซียม ฟอสฟอรัส แคลเซียม และภาวะความเป็นกรด/ด่าง ในเลือด ให้สมดุลกับความจำเป็นของร่างกาย
2. ผลิตและควบคุมการทำงานของฮอร์โมน ฮอร์โมนควบคุมแคลเซียม ฮอร์โมนกระตุ้นสร้างเม็ดเลือดแดง หากไตมีความบกพร่องมากๆเข้าอาจเป็นโรคโลหิตจาง กระดูกพรุนหรือผุ เป็นต้น ฮอร์โมนที่ไต
ผลิตได้แก่ 
· VITAMIN D สร้างกระดูก
· ERYTHROPOITEIN สร้างไขกระดูก,สร้างเม็ดเลือดแดง
· RENIN ควบคุมความดันโลหิต
3. ขับของเสียประเภทโปรตีน (เนื้อสัตว์/ถั่วต่างๆ) เป็นยูเรียครีเอตินีน กรดยูริค ถ้าของเสียพวกนี้คั่งอยู่ในเลือดมากๆเรียกว่า ยูรีเมีย


โรคไตวายเรื้อรัง เกิดจากอะไร
1.โรคเบาหวาน และ ความดันโลหิตสูง (สาเหตุหลักถึง 80% ที่ทำให้เกิดไตวาย)
2.นิ่วในไตและระบบทางเดินปัสสาวะอักเสบเรื้อรัง
3.ไตอักเสบ (กรวยไต,หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงไต,ถุงน้ำในไต)
4. โรค SLE (ภูมิแพ้ทำลายตนเอง)
5.กินยาหลายชนิดต่อเนื่องนานๆ


ไตเป็นอวัยวะที่พิเศษมาก แม้มีปัญหาก็ยังไม่แสดงอาการความผิดปกติใดๆ จนกระทั่งสูญเสียการทำงานมากกว่า 80% ขึ้นไปจึงแสดงอาการให้รับรู้ว่าเข้าสู่ภาวะไตวายขั้นสุดท้าย ถ้าถึงขั้นนี้เป็นภาวะที่ไม่อาจฟื้นฟูไตได้เป็นปกติ นอกจากจะเปลี่ยนไตใหม่เท่านั้น จึงเป็นเรื่องที่น่ากลัวมากของผู้เป็นโรคนี้ เพราะกว่าจะรู้ตัวก็เมื่อสายไปเสียแล้วไตทำงานได้ไม่ถึง 20% ภาวะตรงนี้จะมีของเสียและน้ำ ส่วนเกินในร่างกายมาก ต้องแก้ไขด้วยการฟอกไต หากไม่ฟอกไตหรือฟอกเลือดก็จะถึงแก่ชีวิตด้วยอาการไตวายเรื้อรัง
ก่อนที่จะถึงภาวะไตวายเรื้อรัง เราจะมีวิธีการดูแลสุขภาพได้อย่างไรไม่ให้เกิดโรคนี้กับเรา จริงๆแล้วโรคไตที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดอยู่ที่การดูแลตัวเองโดยเข้าใจเรื่องอาหาร ไม่ตามใจปากตัวเองจนเกินไปรู้จักเลือกอาหารที่ไม่ทำให้เกิดภาวะเสี่ยงต่อโรคไต ในหนังสือเล่มนี้เขียนตามความเข้าใจของผู้ที่ต้องการรู้เรื่องไต(ยังไม่เป็นโรคไต) เป็นไตวายแล้วแต่ยังไม่ฟอกไต และเป็นไตวายเรื้อรังอยู่ระหว่างฟอกไต


อาหารชะลอไตวาย
1.สำหรับคนปกติ
อาหารควรงดหรือหลีกเลี่ยง
- ไม่ทานของเค็มจัดหรือโซเดียมสูงๆทำให้ความดันเลือดสูงไตเสื่อมเร็ว(ดูรายละเอียดโซเดียมแฝง)


- ไม่ทานของหวานจัดๆทำให้ตับอ่อนทำงานหนัก สาเหตุโรคเบาหวาน


- ไม่ทานแป้งขาวมากไป เช่น ขนมต่างๆ เบเกอรรี่ ซาลาเปา ฯลฯ ร่างกายจะเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาล สาเหตุโรคเบาหวาน


- เลี่ยงอาหารทอด ผัด ปิ้ง ย่าง เพราะต้องใช้อุณหภูมิสูงมีไขมันสูงซึ่งทำให้เกิดอนุมูลอิสระมีพิษร้ายแรงมากมาย ทำลายเยื้อหุ้มเซลล์ทำให้เซลล์อักเสบกลายพันธุ์เป็นมะเร็งได้


- ไม่ทานโปรตีนจากสัตว์มากไปเพราะระบบการย่อยของร่างกายทำงานหนัก ของเสียที่เกิดในลำไส้จะถูกดูดกลับเข้ากระแสเลือด ไตจะต้องทำงานหนักปริมาณโปรตีนที่ควรทานต่อคน 1 กรัมต่อน้ำหนักตัวต่อวัน


- หลีกเลี่ยงอาหารที่ใช้วัตถุกันเสีย,ผงชูรส,เคมีที่ใช้อาหาร


- เลิกบุหรี่หรือยาสูบทุกชนิด


- การทานยาต่อเนื่องนานๆ


- หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และคาเฟอีน


อาหารที่ควรทาน
- ผักสด-ผลไม้สด มีเอนไซม์เพิ่มพลังชีวิต


- เน้นอาหารธรรมชาติ RAW FOOD , SLOW FOOD ผ่านการปรุงแต่งให้น้อยที่สุด


- การดื่มน้ำให้ถูกต้องและเพียงพอสำหรับร่างกายในการกำจัดของเสีย


- กรดไขมันโอเมก้า 3 (น้ำมันงาขี้ม่อน , น้ำมันปลา)


- น้ำมันมะพร้าวมีกรดไขมันสายกลางช่วยดูแลไต


- น้ำกระเจี๊ยบ , ใบบัวบก , เก๊กฮวย , หญ้าหนวดแมว ไม่หวานหรือหวานน้อยช่วยขับปัสสาวะ เพิ่มความเป็นด่างในกระแสเลือด

2.สำหรับคนเป็นไตวายเรื้อรังแต่ยังไม่ฟอกไต
อาหารควรงดหรือหลีกเลี่ยง
- เป็นอาหารเหมือนกับคนปกติ ในหัวข้อข้างต้นยังต้องควบคุมน้ำตาลในกระแสเลือดและ
ความดันโลหิตสูงอย่างเคร่งครัด ต้องกินยาและอาหารที่สมดุลเพื่อชะลอการเสื่อมของไตด้วย โดยยึดหลักให้ไตทำงานน้อยลงทานอาหารให้เพียงพอกับร่างกายในแต่ละวันเท่านั้น


- งดอาหารเค็มจัดโดยเด็ดขาด เพราะโซเดียมสูงทำให้ความดันสูง ทำให้ไตเสื่อมเร็วมากขึ้น
น้ำคั่งเกิดอาการในร่างกาย


- กินอาหารโปรตีนต่ำ (การย่อยโปรตีนจะได้ของเสียคือยูเรีย) ถ้าโปรตีนสูงไตจะต้องทำงานหนัก
เสื่อมเร็วเกิดโปรตีนรั่วทางปัสสาวะมากๆนานๆ


- ไขมันสัตว์,เนื้อสัตว์ ทำให้คอลเลสเตอรอลสูง สาเหตุหลอดเลือดเสื่อมลง


- งดอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง ทำให้ไตทำงานหนักในการกรองและขับออกทางปัสสาวะ และ
ยังไปกดการทำงานของหัวใจทำงานหนักไป


- งดอาหารที่มีฟอสฟอรัสสูง เพราะถ้ามีฟอสฟอรัสสูงเกินไปจะทำให้แคลเซียมในเนื้อกระดูก
ถูกขับออก เพื่อไปสลายฟอสฟอรัส เกิดภาวะกระดูกเปราะแตกหักง่าย,กระดูกพรุน


· อาหารที่มีโปแตสเซียมสูง ได้แก่ ฟักทอง ถั่วเมล็ดแห้ง ทุเรียน ลำไย กล้วย มะม่วงสุก ฯลฯ
· อาหารที่มีโปแตสเซียมกลาง ได้แก่ ผักบุ้งจีน พริกฝรั่ง มะละกอดิบ พริกหยวก คะน้า ถั่วลันเตาฯลฯ
· อาหารที่มีโปแตสเซียมต่ำ ได้แก่ น้ำเต้า บวม ฝักเขียว แตงกวา มะเขือยาว ถั่วฟักยาวฯลฯ
· อาหารที่มีฟอสฟอรัสสูง ได้แก่ น้ำอัดลม เบียร์ กาแฟ เนยแข็ง ชีสซ็อกโกแลตไอศครีม ไข่แดง เนื้อติดกระดูก


อาหารที่ควรทานสำหรับคนยังไม่ฟอกไต
เป็นอาหารเช่นเดียวกับหัวข้อข้างต้น (สำหรับคนปกติ) แต่เพิ่มข้อระมัดระวังในการกินต้องมีความเข้มงวดมากขึ้น เพราะระบบไตของร่างกายสูญเสียความสามารถในการทำงานขับของเสียออกจากร่างกาย ของเสียที่ยังอยู่ไม่สามารถขับออกได้หมดเวียนอยู่ในกระแสเลือด กลายเป็นพิษเกิดอนุมูลอิสระในร่างกาย เพราะฉะนั้นการดูแลไตวายเรื้อรังแต่ยังไม่ฟอกไต ต้องให้ความสำคัญต่ออาหารอย่างยิ่งยวด ก่อนที่จะพาตัวเองไปฟอกไต นั้นคือภาวะที่หนักกว่าที่เป็นอยู่อีก และต้องหมั่นตรวจเช็คค่าของไตสม่ำเสมอ


- แป้งที่ทานได้ ควรเป็นแป้งไม่มีโปรตีน เช่น วุ้นเส้น ซาหริม สาคู ลอดช่อง เส้นก๋วยเต๋ยวเซี่ยงไฮ้ แป้งข้าวโพด แป้งมัน


- โปรตีนจากไข่ขาว


3.สำหรับคนเป็นไตวายเรื้อรังต้องฟอกไต(ฟอกเลือด)
ภาวะตรงนี้ไตสูญเสียการทำงานประมาณ 80-85% ขึ้นไปเรียกภาวะนี้ว่าไตวายขั้นสุดท้าย เพราะไม่ได้รับการดูแลอย่างเพียงพอและทันเวลา อาการที่เกิดขึ้นจะมีการคั่งของน้ำและของเสียในร่างกายที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ หากไม่ได้รับการฟอกไตเอาน้ำและของเสียออกทันที จะเกิดภาวะความดันโลหิตสูง น้ำท่วมปอด หัวใจวาย และเสียชีวิตได้


ไตวายขั้นสุดท้ายนี้ ผู้ป่วยไม่มีทางเลือกใดๆเลยนอกจาก 3 วิธีนี้เท่านั้น
1. ผ่าตัดเปลี่ยนไต ต้องหาญาติของผู้ป่วยหรือผู้บริจาค ซึ่งเป็นกรณีที่ยากและยังต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง


2. การล้างช่องท้อง ใช้น้ำยาล้างของเสียผ่านเมมเบรน ต้องเปลี่ยนน้ำยาบ่อยๆและล้างทุกวัน สามารถทำเองที่บ้าน


3. การฟอกเลือดด้วยเครื่อง ต้องทำที่คลีนิคหรือโรงพยาบาลอาทิตย์ละ 3 ครั้ง แล้วแต่อาการ ร้อยละ 80 ของผู้ป่วยไตวายจะใช้วิธีนี้ การฟอกเลือดจะดึงน้ำส่วนเกินและของเสียออกจากร่างกาย ถ้าดึงออกมามากๆจะรู้สึกเพลีย


อาหารควรงดหรือหลีกเลี่ยง
เป็นความลำบากหรือสาหัสมากในการดูแลหรือกินในแต่ละครั้ง ต้องควบคุม เช่น การดื่มน้ำ น้ำในที่นี้ไม่ใช่น้ำดื่มเท่านั้น แต่รวมถึงน้ำที่มีอยู่ในอาหารทุกชนิดที่ผู้ป่วยกิน ต้องดื่มน้ำแต่ละวันตามหมอสั่งเท่านั้นไม่สามารถดื่มตามปกติได้ เช่นลดความกระหายน้ำโดยการอมน้ำแข็ง และยังต้องหมั่นชั่งน้ำหนักตัวอยู่เสมอว่า ก่อนฟอกเลือดเท่าไร หลังฟอกเลือดน้ำหนักเท่าไร เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการฟอกเลือดครั้งต่อไป
อาหารควรงดหรือหลีกเลี่ยงหมือนกับหัวข้อข้างต้น ของคนปกติและไตวายเรื้อรังแบบไม่ฟอกไต แต่ให้ความสำคัญมากขึ้นไปอีกในการกินแต่ละครั้งเช่น


- อาหารที่มีโปแตสเซียมสูงจะกดดันการทำงานของหัวใจ,โซเดียมสูงจะเกิดน้ำคั่งในร่างกาย เกิดภาวะบวมน้ำ ความดันเลือดสูง น้ำท่วมปอด


- ฟอสฟอรัสสูงจะไปสลายเนื้อกระดูก เปราะแตกหักง่าย


- น้ำตาลสูงจะกระทบต่อหลอดเลือดในหน่วยกรองของไตสูญเสียการทำงานต่ำไปเรื่อยๆและยังทำให้เกิดภาวะความเป็นกรดสูงในเลือด


อาหารที่ควรทานสำหรับคนที่ฟอกไตแล้ว
ผู้ป่วยที่ฟอกไต(เลือด)เป็นประจำ สารอาหารต่างๆมีความจำเป็นโดยเฉพาะโปรตีน เพื่อนำไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย แต่โปรตีนที่ได้รับต้องเป็นโปรตีนคุณภาพสูงเท่านั้น เพราะโปรตีนที่ย่อยสลายเป็นสารอาหารแล้วจะมีส่วนที่เหลือเป็นของเสียคือกรดยูเรีย จึงต้องได้โปรตีนที่ดีมีคุณภาพสูงให้เพียงพอ ซึ่งจะตรงข้ามกับกรณีผู้ป่วยไตวายเรื้อรังแต่ยังไม่ฟอกไต ที่หลีกเลี่ยงโปรตีน เพราะจะเป็นภาระแก่ไต


บทบาทกรดอะมิโนช่วยอาการไตวายเรื้อรัง


กรดอะมิโนแอลคาร์นิทีน
ผู้ป่วยโรคไตส่วนใหญ่จะขาดกรดอะมิโนในตัวนี้ เพราะผู้ป่วยที่ฟอกไตจะสูญเสียคาร์นิทินในการฟอกไตทุกครั้ง กรดอะมิโนคาร์นิทีนมีบทบาทสำคัญในการเผาผลาญไขมันให้เกิดพลังงาน กล้ามเนื้อหัวใจ จะได้พลังงานจากไขมันต้องพึ่งพาคาร์นิทิน เพื่อเปลี่ยนไขมันให้เป็นพลังแก่เซลล์กล้ามเนื้อ หากผู้ป่วยสูญเสียหรือขาดแคลน อาจจะเกิดอาการอ่อนเพลีย กล้ามเนื้ออ่อนแรง หัวใจเต้นผิดปกติได้
ฉะนั้นผู้ป่วยต้องได้รับการเสริมอาหารคาร์นิทีนคาร์นิทีนเป็นสารประกอบสังเคราะห์ได้จากกรดอะมิโน 2 ชนิด คือ ไลซีน และเมธไทโอนีนไลซีนมีอยู่มากในเนื้อปลา ไข่ บริเวอร์ยีสต์ ซีส ฯลฯ และในผลไม้มะขามป้อมจะมีมาก ส่วนเมธไทโอนีน มีอยู่มากใน กระเทียม หัวหอม ไข่ ปลา โยเกิร์ตฯ ถ้าเราไม่ทานเสริมอาหาร ก็ควรหาอาหารโปรตีนที่มี ไลซีน/เมธไทโอนีน เป็นสารอาหารตั้งต้นของคาร์นิทีนแทน
หรือใช้กรดไขมันสายกลางที่มีอยู่ในน้ำมันมะพร้าวที่สามารถให้พลังานเซลล์ได้ทันที หรือใช้ โคเอ็นไซม์ Q10 สามารถเปลี่ยนไขมันให้เป็นพลังงานได้เช่นกัน ทำให้เซลล์ที่-อ่อนแอมีการฟื้นตัวและกลับมาทำงานเป็นปกติได้มากขึ้น


กรดอะมิโนแอล-ไลซีน
- มีความสำคัญมากในการสร้างโปรตีนเพื่อการเจริญเติบโต
- ช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
- สร้างสารภูมิต้านทาน ฮอร์โมน และเอมไซม์ต่างๆมากมาย
- ช่วยเปลี่ยนกรดไขมันให้พลังงาน(ถ้าใช้รวมกับเมธไทโอนีนจะเป็นสารตั้งต้นของคาร์นิทีน)
- ช่วยการดูดซึมแคลเซียม ป้องกัน/รักษาโรคกระดูกพรุน
- ป้องกันเส้นเลือดฝอยที่ตาแดงแตก
- ลดอาการเกิดโรคเริม
มีอยู่มากในอาหาร ไข่ เนื้อปลา บริวเวอร์ยีสต์ฯ


กรดอะมิโนเมธไทโอนีน
มีหน้าที่ช่วยเปลี่ยนไขมันให้เป็นพลังงาน เป็นกรดอะมิโนที่มีซัลเฟอร์เป็นส่วนประกอบเช่นเดียวกับกรดอะมิโน ซิสเตอีน จัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลังมาก ลดการทำลายของอนุมูลอิสระที่ไตและร่างกาย
- ช่วยลดอาการบวมขับน้ำที่คั่งอยู่ในเนื้อเยื่อ
- ช่วยปกป้องร่างกายจากสารพิษ/อนุมูลอิสระ
- ช่วยลดระดับสารอีสตามีนในเลือดรักษาอาการโรคจิตเภทบางชนิด
- ลดระดับโคเลสเตอรอล
- ช่วยขับฮอร์โมนเอสโตรเจนส่วนเกิน
- ช่วยป้องกันเนื้องอกบางชนิด ถ้ารับประทานร่วมกับโคลีนและกรดโฟลิก
- มีมากในอาหารประเภท กระเทียม หัวหอม ไข่ ปลา โยเกิร์ตฯ


กรดอะมิโนซิสเตอีน
เป็นกรดอะมิโนที่มีซัลเฟอร์เป็นส่วนประกอบ เป็นสารตั้งต้นของกลูต้าไธโอน
- ช่วยขัดขวางและป้องกันพิษจากโลหะหนัก บุหรี่ สุรา รังสีเอกซ์ฯ
- ช่วยในการเผาผลาญอาหาร
- ช่วยลดอนุมูลอิสระที่ไตและร่างกาย
- ช่วยให้ผิวพรรณผ่องใส ลดการผลิตเมลานินของผิว
มีมากในอาหารประเภท กระเทียม หัวหอม หอมหัวใหญ่ฯ


กรดอะมิโนกลูตามีน
มีหน้าที่ให้พลังงานแก่สมองช่วยกำจัดแอมโมเนียส่วนเกินที่จะไปทำลายสมอง และเปลี่ยนแอมโมเนียให้เป็นกลูตามีนทำให้กรดกลูตามิกสูงขึ้น หากขาดกลูตามีน จะทำให้สมองขาดกรดกลูตามิก และที่สำคัญกลูตามีนเป็นสารตั้งต้นของกลูต้าไธโอนฯเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบได้เกือบทุกเซลล์ของร่างกาย หากขาดกลูตามีนย่อมขาดกลูต้าไธโอนด้วย 
- ลดการทำลายอนุมูลอิสระที่ไตและร่างกาย
- ช่วยเพิ่มโก๊รธฮอร์โมนในร่างกาย
- สร้างกล้ามเนื้อ ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
- ช่วยเพิ่มไอคิว ให้กับสมองๆทำงานดีขึ้น
มีมากใน เนยแข็ง(ชีส) โยเกิร์ต ผักโขม กะหล่ำปลี เนื้อสัตว์ฯ


กรดอะมิโนอาร์จินีนและอาร์นิทีน
เป็นกรดอะมิโนที่เกี่ยวกับการหลั่งโก๊รธฮอร์โมนๆจะหลั่งออกมาเวลาหลับ ออกกำลังกาย ระดับโก๊รธฮอร์โมนจะลดลงเมื่อเราอายุมากขึ้น อายุ 50 ปีขึ้นไปจะลดหรือหยุดการผลิต แต่การทานอาหารมีส่วนช่วยยกระดับโก๊รธฮอร์โมนเพิ่มขึ้นได้ตัวเสริมสร้างโกร๊ธออร์โมนได้แก่ กรดอะมิโนอาร์จินีนออร์นิทีนกลูตามีน ทริปไตแฟน ไกลซีน ไทโรซีนกรดอะมิโนทั้งหมดจะทำงานร่วมกันดีกว่าทำงานแยกกันเป็นตัวๆและยังมี วิตามินซี วิตามินบี6 บี3 สังกะสี แคลเซียม แมกนีเซียม โดยทั้งหมดจะร่วมกันผลิตโก๊รธฮอร์โมน


โก๊รธฮอร์โมนดีอย่างไร
- ช่วยลดปริมาณยูเรียในเลือดและปัสสาวะ
- ช่วยเปลี่ยนไขมันเป็นพลังงานแก่เซลล์
- เพิ่มความต้านทานโรค ต่อต้านอนุมูลอิสระ
- ส่งเสริมความแข็งแรงกระดูก/กล้ามเนื้อ ซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
- ช่วยลดระดับ LDL/ลดความดันโลหิตสูง
- ช่วยเลือดไปเลี้ยงไตมากขึ้น
กรดอะมิโนอาร์จินีนและออร์นิทีนมีมากในอาหาร ถั่ว ธัญพืช เนื้อสัตว์ และอาหารโปรตีนสูงทุกชนิด
สารอาหารช่วยผู้เป็นไตวายเรื้อรัง
กรดไขมันสายกลาง+กระเทียม+โอเมก้า3(LINOLENIC) ดูรายละเอียดหน้า

สารอาหารทั้งหมดจะช่วยให้หน่วยของไตทำงานดีขึ้น มีเลือดไปเลี้ยงหน่วยไตมากขึ้น ช่วยกำจัดสารพิษที่ตกค้างในร่างกายมากขึ้น ทำให้อนุมูลอิสระน้อยลง ในเลือดมีไขมันตัวดี HDL เพิ่มขึ้น ช่วยลดระดับของ LDL ไตรกลีเซอไรด์ให้น้อยลงซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดต่างๆ และยังช่วยบรรเทาอาการผิวหนัง เช่น แห้ง คล้ำ คัน ตกสะเก็ด ให้ทุเลาลงมีผิวพรรณดีขึ้น


วิตามินและเกลือแร่


วิตามินบี6 วิตามินบี3(ไนอาซิน) วิตามินซี วิตามินD3 สังกะสี แคลเซียม แมกนีเซียม โดยทั้งหมดจะไปกระตุ้นการหลั่งโก๊รธฮอร์โมน ช่วยเพิ่มระดับโก๊รธฮอร์โมนในร่างกายซึ่งมีผลดีกับไตและร่างกายอย่างมากมาย

วิตามินบี6 - ผู้ป่วยโรคไตมักจะขาดวิตามินตัวนี้ ซึ่งช่วยอัตราการทำงานของไตเพิ่มขึ้น ช่วยสร้างแอนติบอดี้และเม็ดเลือดแดงและดูดซึมโปรตีนดีขึ้น


วิตามินบี3 - ช่วยการไหลเวียนของเลือดขยายหลอดเลือดเพิ่มขึ้น ลดความดันโลหิต เพิ่มการเผาผลาญไขมันและอาหาร


วิตามินซี - เป็นสารต้านอนุมูลอิสระมีประสิทธิภาพสูง ช่วยสร้างคอลลาเจน ซ่อมแซมเนื้อเยื่อต่างๆต่อชีวิตให้เซลล์ทำให้โปรตีนในเซลล์เกาะเกี่ยวกันได้ดีขึ้น(มะขามป้อมมีวิตามินซีสูงที่สุด)


วิตามินD3 - ช่วยการดูดซึมแคลเซียม/ฟอสฟอรัส ลดอาการกระดูกพรุน


แคลเซียม - เป็นแร่ธาตุขี้เหงาต้องร่วมกับวิตามินดี3และแมกนีเซียม ถึงจะเพิ่มการดูดซึมของแคลเซียมสู่กระดูกได้ดี ช่วยกระดูกแข็งแรง ลดอาการกระดูกเสื่อม/กระดูกพรุน/กระดูกหักและบาง


แมกนีเซียม - ช่วยการทำงานของเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ ช่วยเปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นพลังงาน ช่วยลดความเครียด


สังกะสี - เป็นแร่ธาตุที่คอยควบคุมให้การทำงานในร่างกายดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซ่อมบำรุงระบบเอมไซม์และเซลล์ต่างๆมีความสำคัญต่อการสร้างโปรตีนและคอลลาเจน เป็นส่วนประกอบของสารต้านอนุมูลอิสระเช่น SOD (ซูเปอร์ออกไซด์ดิสมิวเทส)


น้ำมันโอเมก้า 3 (งาขี้ม้อน,ปลา)
งาขี้ม้อนจะมีโอเมก้า 3 สูงถึง 60% ขณะที่น้ำมันปลามีอยู่ 30% จึงสามารถเลือกใช้ได้ทั้ง 2 ชนิด ประโยชน์ของ OMEGA 3 จะช่วยลดไขมันในเลือดลดไตรกลีเซอไรด์ ลดการอักเสบของไต ลดปัสสาวะมีไข่ขาว เพิ่มการหมุนเวียนของเลือดได้ดี ถ้ากินร่วมกับกรดไขมันสายกลาง (น้ำมันมะพร้าว)จะเพิ่ม LCAT ได้ 152% ซึ่งมีผลต่อการเพิ่ม HDL (ไขมันตัวดี) ในกระแสเลือดอย่างมากเท่ากับลดการอักเสบในเลือด ไขมันในเลือด ทำให้หลอดเลือดขยายตัวลดการเสื่อมของไตและเซลล์ต่างๆ สิ่งสำคัญจะเพิ่ม OMEGA 3 ในร่างกายและลดOMEGA 6 ในร่างกาย การอักเสบในระดับเซลล์สาเหตุของโรคร้ายต่างๆจะน้อยลง


กรดไขมันสายกลาง(น้ำมันมะพร้าว)+กระเทียม 

กรดอัลฟ่าไลโปอิคประกอบไปด้วยกรดไขมันสายกลาง+ซัลเฟอร์ เป็นสารกำจัดอนุมูลอิสระทรงพลัง ช่วยลดของเสียในร่างกายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ เพราะผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่ฟอกไต จะมีของเสียที่ไหลเวียนเลือดอยู่ในกระแสเลือดสูง ทำให้เกิดโรคต่างๆมากมาย และผู้ป่วยไตวายเรื้อรังเวลาฟอกไตจะมีกรดอะมิโนแอลคาร์นีทีนซึ่งมีหน้าที่เปลี่ยนไขมันเป็นพลังงานหลุดออกไปในขณะฟอกด้วย จึงทำให้เกิดอาหารอ่อนเพลียหลังการฟอกไตทุกครั้ง ตรงจุดนี้กรดไขมันสายกลางจะไปช่วยแก้ไขโดยให้พลังงานแก่เซลล์ทันทีจึงไม่เกิดอาการอ่อนเพลีย และกรดไขมันสายกลางยังเป็นอาหารคีโตนจีนิกอีกทางหนึ่งด้วย

น้ำมันตับปลา
จะอุดมไปด้วยวิตามิน D ซึ่งมีส่วนช่วยในการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่กระดูก ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังจะมีปัญหาเรื่องกระดูกพรุน บาง แตก หักง่ายวิตามินDจากน้ำมันตับปลาจะช่วยได้เป็นอย่างดีและยังไปช่วยสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกายอีกทาง ผิวหนังที่แห้งดำคล้ำและคันจะทุเลาลงด้วย




#โค้ชเกมส์
Mobile : 092-645-4256

ไม่มีความคิดเห็น:

Promotion