สรุปประโยชน์ ของ Growth hormone
นักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญในการป้องกันความชรา ชี้ให้เห็นว่าความชราคือโรค โดยตั้งชื่อโรคนี้ว่า “กลุ่มอาการขาด HGH” ความชราไม่ใช่เป็นเรื่องธรรมชาติอีกต่อไป เราสามารถป้องกันและบำบัดได้ ขึ้นอยู่กับคุณ ว่าจะตัดสินใจปล่อยให้แก่เองหรือคุณจะหาวิธีป้องกันมัน แม้ว่าการหลั่ง GH จะลดลง หรือสารโซมาโตสเตตินจะเพิ่มขึ้น หรืออวัยวะเป้าหมายไม่ตอบสนองต่อ GH ก็ตาม เราก็สามารถที่จะเอาชนะความชราได้โดยการให้สารที่ช่วยปลดปล่อย GH แก่ร่างกาย
การย้อนคืนนาฬิกาชีวภาพกลับไป 20 ปี
ในปี 1990 ผลวิจัยแปลกแนวโดย น.พ. Daniel Rudmen (ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์) ได้สั่นสะเทือนวงการแพทย์ด้วยการประกาศผลการทดลองในคนแก่อายุ 61-81 ปี จำนวน 12 คน สามารถฟื้นความเป็นหนุ่มสาวได้ราว 20 ปี ภายใน 6 เดือนด้วยการฉีด GH
GH จะมีเฉพาะในรูปยาฉีดซึ่งมีราคาสูง และไม่สะดวกต่อการใช้ และอาจมีผลข้างเคียงหากฉีดติดต่อกันเป็นเวลานาน มีสารอาหารที่ทำให้ร่างกายสร้าง HGH เป็นที่รู้จักในชื่อ “สารช่วยหลั่ง Secretagens” ซึ่งราคาไม่สูงเกินไป เริ่มเป็นที่สนใจในหมู่ชนรุ่นใหม่ สารอาหารเหล่านี้ทำให้ต่อมใต้สมองหลั่ง GH ได้เอง
นักวิทยาศาสตร์พบว่า เมื่อเราแก่ลง ต่อมใต้สมองยังคงสร้าง HGH แต่ไม่สามารถหลั่งออกมายังเนื้อเยื่อหรืออวัยวะอื่น ๆ ได้ แต่สารอาหารเหล่านี้เป็นสารธรรมชาติที่เป็นที่ยอมรับ และมีหลักฐานสนับสนุนว่าสามารถเพิ่ม GH และเพิ่มประสิทธิภาพของ GH ที่ฉีดเข้าไปอีกด้วย ยังมีวิจัยอีกว่าสารเร่งการหลั่ง GH เหล่านี้ยังสามารถเลียนแบบการหลั่งของ GH ในวัยหนุ่มสาวซึ่งได้ผลดีกว่าการใช้ GH บำบัดโดยวิธีอื่น ผลที่ได้รับน่าพอใจ และไม่มีผลข้างเคียง
ในกระบวนการ “ผสมผสาน” โดยการจัดสูตรสารอาหารในสัดส่วนที่เหมาะสม คุณจะได้รับประโยชน์สูงสุดโดยไม่ต้องเจ็บตัวจากการถูกฉีดยา แต่คุณต้องเลือกอาหารที่ดี และออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย อาหารเสริมที่ปลดปล่อย HGH ที่โดดเด่นคือ กลุ่มกรดอะมิโน เช่น Lysine ผสมรวมกับ Arginine, Ornithine และ Glycine
Arginine เป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายมนุษย์ไม่สามารถผลิตได้ ต้องได้รับจากอาหารที่กินเข้าไป Arginine จะเพิ่มการเผาผลาญไขมัน และเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ช่วยเพิ่มความแข็งแรงแก่ ต่อมไทมัส (Thymus gland) โดยเพิ่มน้ำหนักของต่อม และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ระบบภูมิต้านทานของร่างกายจึงเพิ่มขึ้น และต่อต้านมะเร็งได้ดี ยังช่วยให้แผลหายเร็วโดยการล้างพิษออกจากร่างกาย และยังเสริมสมรรถภาพชายอีกด้วย
Lysine เสริมประสิทธิภาพของ Arginine ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต สามารถช่วยให้ร่างกายต่อต้านไวรัสได้ดี เช่น เริม งูสวัด ไวรัสตับอักเสบ
Ornithine ร่างกายสร้างได้ มีโครงสร้างคล้าย Arginine โดยArginine จะถูกเปลี่ยน Ornithine ในร่างกายได้ กรดอะมิโนตัวนี้ช่วยกระตุ้นการหลั่ง HGH
Glutamine เป็นกรดอะมิโนที่มีมากในร่างกาย และใช้ประโยชน์มากที่สุด ในกรณีที่ร่างกายเครียด ร่างกายจะไม่สามารถสร้าง Glutamine ได้พอเพียง ร่างกายดูดซึมกรดอะมิโนตัวนี้ได้น้อยลง มีผลทำให้ภูมิต้านทานลดลง และมวลกล้ามเนื้อลดลง
ใช้ชีวิตประจำวันอย่างมีพลานามัยที่ดี
- งดบุหรี่ อย่าแม้แต่จะหัดสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงการสูดควันบุหรี่จากคนข้างเคียง
- ดื่มอัลกอฮอล์แต่น้อย
- พยายามรับประทานผักสดผลไม้แตกต่างกัน 5-10 ประเภท เพื่อให้ร่างกายได้สารต่อต้านความเสื่อม
- รับประทานสารอาหารให้ครบ (ขอคำปรึกษาจากแพทย์)
- ควบคุมปริมาณไขมันที่รับประทานวันละไม่เกิน 20%
- ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 1 ลิตร
- ออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 15-30 นาที
- ตรวจร่างกายประจำปี
- ปกป้องโรคแต่เนิ่น ๆ อย่าปล่อยให้เป็นเรื้อรัง
- ประพฤติ รู้สึก และแต่งตัวอย่างมีชีวิตชีวา
สารอาหารต่าง ๆ
- รับประทานวิตามินตามแพทย์สั่ง
- แร่ธาตุจำเป็นต่อการทำงานของเอนไซม์ในร่างกาย
- สารต้านความเสื่อมสามารถสังเคราะห์ได้ในร่างกาย บางอย่างได้รับจากกรดไขมันจำเป็นจากปลาทะเล
- สมุนไพรมีประโยชน์ต่อสุขภาพ
- ศึกษารายละเอียดของสารอาหารแต่ละกลุ่มดังกล่าวข้างต้น
แผนการฟื้นฟูความเป็นหนุ่มสาว
ก่อนจะตัดสินใจใช้แผนการฟื้นฟู คุณควรตรวจสอบอายุที่แท้จริง และอายุตามที่คุณรู้สึก ปรึกษาแพทย์ สุขภาพพื้นฐานของคุณ และอายุตามความรู้สึกจะเป็นตัวกำหนดการทดสอบความชรา จะทราบได้อย่างไรว่าคุณต้องการ HGH
หากคุณมีอาการเหล่านี้แสดงว่าระดับ HGH ของคุณต่ำมาก
- ขาดพลังงาน เหนื่อยง่าย
- ความต้องการทางเพศลดลง
- สมรรถภาพทางเพศลดลง
- เป็นโรคเกี่ยวกับต่อมใต้สมอง
- อ่อนเพลียเรื้อรัง
- ซึมเศร้า
- ไม่รู้สึกรื่นรมย์ในชีวิต
- อารมณ์แปรปรวน
- กังวลใจ กระวนกระวาย
- หลีกหนีสังคม
- ไขมันในช่องท้องมากขึ้น
- กล้ามเนื้อฝ่อ และอ่อนแอ
- ผิวบางลง
- ผิวย่นก่อนวัย
- สุขภาพไม่ค่อยดี ป่วยง่าย
- ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้
- ไม่มีชีวิตชีวา
- สูญเสียแร่ธาตุจากกระดูก โดยเฉพาะ แคลเซียม
- อวัยวะสำคัญๆ ฝ่อเล็กลง
- โคเลสเตอรอลเหลวเพิ่มขึ้น
- เลือดไปเลี้ยงไตลดลง ไตฝ่อ
- สมรรถภาพเสื่อม
- การเผาผลาญอาหารลดลง
- สมรรถนะในการเล่นกีฬาลดลง
- ภูมิต้านทานลดลง
หากบทความนี้มีประโยชน์ รบกวนกดไลท์ กดแชร์ ด้วยครับ
โค้ชเกมส์ 092-645-4256
บล็อคนี้เป็นการรวบรวมข้อมูลความรู้และงานวิจัยจากทั่วโลก ถึงคุณสมบัติการป้องกันและฟื้นฟูสุขภาพ จากโรคภัยต่างๆ ด้วย L- Arginine (ProArgi 9 Plus) By : โค้ชเกมส์ พิภัชกันต์ Mobile : 092-645-4256 Line ID : kp156 FB : GamePua Pipatkan
วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2558
วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2558
ความจำเป็น และสำคัญต่อร่างกาย ของโกรท ฮอร์โมน
โกรท ฮอร์โมน (Growth Hormone)
ฮอร์โมนที่มีบทบาทสำคัญในการหมุนเข็มนาฬิกาชีวิตกลับมา มีชื่อว่าโกรท ฮอร์โมนซึ่งเป็น “Master Hormone” หรือฮอร์โมนหลักของร่างกาย เป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกันทุกระบบ และทุกการทำงานของร่างกาย มีหน้าที่ในการสร้างเนื้อเยื่อ และควบคุมการทำงานของเนื้อเยื่อ ทำให้ร่างกายเจริญเติบโตในวัยที่ยังโตไม่เต็มที่ และสร้างเนื้อเยื่อ ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย นอกจากนี้ ยังเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมการเผาผลาญไขมันและเปลี่ยนไขมันเป็นพลังงาน
ระดับโกรทฮอร์โมนในร่างกายของมนุษย์ จะถึงจุดสูงสุดเมื่อมนุษย์ย่างเข้าสู่วัยรุ่น หลังจากคนมีอายุได้ 20 ปี การผลิตโกรท ฮอร์โมนจะลดลงด้วยอัตรา 14% ทุก 10 ปี เมื่อคนเรามีอายุ 60 ปี ระดับของโกรท ฮอร์โมนในร่างกายจะมีประมาณ 25% ระดับที่เคยผลิตได้สูงสุด อาการของโกรท ฮอร์โมน ที่ลดลง สังเกตได้ตั้งแต่ กล้ามเนื้อน้อยลง ไขมันเพิ่มขึ้น ลงพุง กระดูกผุ กระดูกพรุน ไต กับปอด ทำงานไม่ดี ผิวเหี่ยวชราลง ผมหงอก ร่างกายเสื่อมสภาพลง เข้าสู่สภาวะของความแก่ชรา
อวัยวะที่มีผลกระทบโดยตรงต่อการลดลงของระดับโกรท ฮอร์โมน คือ หัวใจ ที่สำคัญที่สุดในร่างกาย เมื่อระดับโกรท ฮอร์โมนต่ำลง คนจะมีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจเพิ่มขึ้น โคเลสเตอรอล และ ไตรกรีเซอร์ไรด์สูงขึ้น การที่ทำให้ระดับโกรท ฮอร์โมน ในกระแสเลือดเพิ่มขึ้น จะช่วยลดอาการเหล่านี้ได้
รายงานทางการแพทย์พบว่า ในคนที่มีน้ำหนักเกิน หรือ คนอ้วน จะมีระดับโกรท ฮอร์โมนโดยธรรมชาติลดลง เช่นเดียวกับ ในยามที่อายุมากขึ้น และเมื่อเราสามารถลดน้ำหนักลงได้ ระดับโกรท ฮอร์โมน โดยธรรมชาติจะเพิ่มขึ้น ทำให้คนที่น้ำหนักลดลง ดูหนุ่มสาวขึ้น
ใน 10 ปีที่ผ่านมานี่เอง มีการนำกรดอะมิโนกลุ่มหนึ่ง เช่น กลูตามีน ออร์นิทีน ไกลซีน อาร์จินีน ไลซีน มาใช้ในการกระตุ้นการผลิต โกรท ฮอร์โมนจากธรรมชาติโดยไม่ต้องฉีด โดยที่ผู้ที่เข้ารับการทดลองจะได้รับกรดอะมิโนกลุ่มนี้ โดยการรับประทาน จากนั้นทำการเจาะเลือดวัดระดับ IGF- 1 พบว่ากรดอะมิโนในสูตรที่เหมาะสม สามารถกระตุ้นการผลิตโกรท ฮอร์โมนจากธรรมชาติ ได้ใกล้เคียงกับการฉีด ทั้งยังตัดปัญหาเรื่องผลข้างเคียงจากการฉีด และ ยังมีราคาถูกกว่ามากมายด้วย ผลของโกรท ฮอร์โมน ไม่ว่าจะมาจากการฉีด หรือ การรับประทาน ยังทำให้ผิวหนังชั้นหนังแท้หนาขึ้น ริ้วรอยลดลง แลดูอ่อนเยาว์ ผม และเล็บ แข็งแรงขึ้น ผมดกดำเป็นเงาอีกด้วย
ส่วนประกอบสำคัญ
1. แอล กลูตามีน
เป็นกรดอะมิโนที่มีปริมาณมากที่สุดในร่างกาย ซึ่งปกติแล้วร่างกายสังเคราะห์ได้เอง ยกเว้นในบางสภาวะที่ร่างกายต้องการ แอล กลูตามีนมากกว่าปกติ หรือ สังเคราะห์ได้ไม่ดีนัก เช่น ในนักกีฬาที่ฝึกฝนอย่างหนัก หรือ ผู้ที่มีปัญหาในระบบทางเดินอาหาร บทบาทของ แอลกลูตามีน คือ เป็นสารกระตุ้นการสร้างโกรทฮอร์โมน จากต่อมใต้สมอง มากกว่า 60 % ของแอลกูลตามีน จะอยู่ในเซลล์กล้ามเนื้อ ทำหน้าที่เสริมสร้างเซลล์กล้ามเนื้อและช่วยซ่อมแซมเซลล์กล้ามเนื้อที่บาดเจ็บ หรือสึกหรอ ลดการอ่อนล้าของกล้ามเนื้อ และ ลดการเสื่อมสลายของกล้ามเนื้อ แอล กลูตามีน เป็นแหล่งพลังงานที่ดียิ่งของสมอง โดยที่ตัวมันเองเป็นสารตั้งต้นในการผลิตสารสื่อประสาท คือ กลูตาเมท (Glutamate) และ กาบ้า (GABA) เพื่อเป็นอาหารให้สมอง และช่วยกำจัดสารแอมโมเนีย ที่เกิดจากการทำงานหนักของสมอง จึงช่วยลดสภาวะตึงเครียดได้ในสมองมีกลูตามีนในปริมาณมาก ทำหน้าที่เป็นแหล่งพลังงานสำรองในยามที่สมองขาดน้ำตาลซึ่งเป็นแหล่งพลังงานแรก การเพิ่มปริมาณกลูตามีนในร่างกายจึงช่วยให้มีสมาธิดีขึ้น มีความจำดี ความคิดว่องไว และ เฉียบคมขึ้น ตื่นตัว และ ทำให้อารมณ์ดี ลดและป้องกันอาการสมองมึนงง แอล กลูตามีน ยังช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น โดยการช่วยเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาว เซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันส่วนใหญ่จะใช้พลังงานจากกลูตามีน และยังช่วยกระตุ้นการเผาผลาญของร่างกาย แอล กลูตามีน ช่วยระงับความหิว ซึ่งเป็นกลไกที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับการควบคุมน้ำหนัก และ การลดน้ำหนัก เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลง กลูตามีนจะทำหน้าที่ยับยั้งการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อน ป้องกันระดับน้ำตาลลดต่ำมากเกินไป จะทำให้เราไม่รู้สึกหิว นอกจากระงับความหิวอันเนื่องจากน้ำตาลตกแล้ว ยังสามารถระงับความอยากเหล้าได้ด้วย ที่น่าสนใจสำหรับคนไข้โรคเบาหวาน คือ กลูตามีนช่วยให้ตับอ่อนทำงานดีขึ้นได้ด้วย
2. แอล ไลซีน
เป็นกรดอะมิโนจำเป็น คือ ร่างกายไม่สามารถสร้างได้เอง จำเป็นต้องได้รับจากอาหาร แอล ไลซีน มีบทบาทในการกระตุ้นการสร้างโกรทฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง และจำเป็นในการสร้างกล้ามเนื้อ นอกจากนี้การบริโภค แอล ไลซีนยังทำให้ผิวพรรณสวยงามเนื่องจาก แอล ไลซีนเป็นหนึ่งในสารตั้งต้นในการผลิตคอลลาเจนโปรตีน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของผิว ผม เล็บ กระดูก และกระดูกอ่อน บทบาทของ แอล ไลซีนกับกระดูก นอกจากเป็นสารตั้งต้นในการผลิตคอลลาเจนแล้ว แอบ ไลซีน ยังทำหน้าที่เพิ่มการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกายอีกด้วย และ ช่วยลดโอกาสเกิดโรคเริม และ งูสวัด
3. แอล ออร์นิทีน
เป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายสังเคราะห์ได้เอง มีบทบาทช่วยกระตุ้นการสร้างโกรท ฮอร์โมนของต่อมใต้สมอง แอล ออร์นิทีน ช่วยในการสร้างกล้ามเนื้อป้องกันการสูญเสียกล้ามเนื้อ และกระตุ้นการสลายไขมันในร่างกาย โดยเฉพาะเมื่อมีการบริโภคร่วมกับ แอล อาร์จีนีน และ แอล คาร์นิทีน นอกจากนี้ แอล ออร์นิทีน ยังมีบทบาทสำคัญในการเป็นสารตั้งต้น เพื่อสังเคราะห์กรดอะมิโนตัวอื่นๆ ที่ให้พลังงานแก่เซลล์ในร่างกายแอล ออร์นิทีน ยังช่วยกำจัดสารพิษพวกแอมโมเนียออกจากตับ และ ช่วยให้ผู้ป่วยโรคตับแข็งมีอาการดีขึ้น รวมทั้งผู้ป่วยโรคตับชนิดต่างๆ ด้วย นอกจากนี้ ยังช่วยให้แผลหายเร็ว และ ร่างกายมีการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้เร็วยิ่งขิ้น
4. แอล อาร์จินีน
เป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายสังเคราะห์ได้เอง มีบทบาทในการกระตุ้นการสร้างโกรท ฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง นอกจากนี้ ยังมีความสำคัญกับระบบหัวใจและหลอดเลือด โดย แอล อาร์จินีน เป็นสารหลักในการสร้างสารไนตริก ออกไซด์ (Nitric Oxide) ทำให้หลอดเลือดขยายตัว ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด ช่วยปรับสมดุลโคเลสเตอรอล ช่วยให้บาดแผลหายเร็ว และเสริมสร้างภูมิต้านทาน เสริมสมรรถนะเพศชาย กระตุ้นการเผาผลาญไขมัน ปรับสมดุลความดันโลหิต และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วย
5. แอล ไกลซีน
เป็นกรดอะมิโนที่มีขนาดเล็กที่สุดในบรรดากรดอะมิโนทั้งหมด ร่างกายสามารถสังเคราะห์ได้เอง มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการสร้างโกรท ฮอร์โมน นอกจากนี้ ยังมีบทบาทในการสร้างกล้ามเนื้อ ลดการสลายกล้ามเนื้อ และเปลี่ยนน้ำตาลกลูโคสให้เป็นพลังงานป้องกันร่างกายจากภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ จึงช่วยไม่ให้หิวในระหว่างมื้ออาหาร และ ช่วยป้องกันอาการอ่อนล้าหมดแรง ช่วยให้ระบบสมอง และ ประสาท ทำงานเต็มประสิทธิภาพ รวมทั้ง ช่วยการทำงานของระบบย่อยอาหาร แอล ไกลซีน มีความสำคัญต่อความสวยงามของผิวหนังอย่างยิ่งเนื่องจากไกลซีน เป็นส่วนประกอบสำคัญของคอลลาเจนโปรตีน โดยที่โครงสร้างของคอลลาเจนประกอบด้วยไกลซีนถึงหนึ่งในสาม หากร่างกายเราปราศจากไกลซีน หรือ มีปริมาณไม่เพียงพอ ร่างกายจะไม่สามารถซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ หรือ บาดเจ็บได้ ผิวหนังของเราจะเหี่ยวย่น และ คล้อยยาน แลดูแก่ชรา
6. อินโนซิทอล
ช่วยในการบำรุงสมอง และเซลล์ประสาท เนื่องจากอินโนซิทอล เป็นสารต้นตอของฟอสฟาดิลอินโนซิทอล (Phosphatidylinositol) ซึ่งเป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์ประสาท พบว่าระหว่างที่เรานอนหลับ อินโนซิทอล จะช่วยให้ร่างกายนำไขมันและโคเลสเตอรอลมาใช้ระหว่างที่นอนหลับ ทำให้หลับสบายขึ้น อินโนซิทอล ยังใช้ในการบำบัดอาการเจ็ดปวด และชา เนื่องจากเซลล์ประสาทที่ถูกทำลายในผู้เป็นเบาหวาน ช่วยบำรุงสุขภาพของกระดูก เนื้อเยื่อของตา และลำไส้
7. แอลไอไซลิวซีน
เป็นกรดอะมิโน ที่ได้รับจากพืชผักใบเขียว จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตและพัฒนาการเรียนรู้ (IQ) เป็นที่ต้องการอย่างมากสำหรับรูปร่างของเม็ดเลือดแดง ควบคุมน้ำตาลในเลือด เป็นสิ่งมีค่ามากสำหรับนักกีฬา เพราะช่วยเหลือในการรักษา และ ซ่อมแซมเนื้อเยื้อกล้ามเนื้อ ผิวหนัง และ กระดูก พบได้น้อยในคนที่มีความผิดปกติทางจิต และ ความผิดปกติทางร่างกาย ไกลซีน คือ กรดอะมิโนที่ช่วยกระตุ้นการปล่อยออกซิเจนซึ่งจำเป็นต่อกระบวนการสร้างเซลล์ เป็นกรดที่จำเป็นในการสร้างฮอร์โมนที่เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
8. เวย์โปรตีน Ieucine, Isoleucine, Valine
ทำหน้าที่ฟื้นฟูกล้ามเนื้อ เสริมสร้างกล้ามเนื้อ เพราะเป็นกลุ่มกรดอะมิโนที่ช่วยกระตุ้นการหลั่ง โกรท ฮอร์โมน ที่ไปกระตุ้นการย่อยสลายและสังเคราะห์โปรตีนของร่างกาย จึงทำให้สามารถดูดซึมโปรตีนเพื่อนำไปสร้างกล้ามเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
9.วิตามิน บี 3
ทำหน้าที่ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือดได้ จากการทดลองผลการลดระดับไขมันในเลือด จะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดหลังการประทาน 5 - 7 สัปดาห์ ส่วนเกินที่รับประทานเข้าไป ร่างกายจะขับออกผ่านทางปัสสาวะ
10. วิตามิน บี 5
ทำหน้าที่ช่วยสร้างความเจริญเติบโตของร่างกาย สร้างเซลล์ใหม่ บำรุงและสร้างแอนตี้บอดี้ซึ่งเป็นตัวสำคัญของภูมิชีวิต เมื่อร่างกายเปลี่ยนไขมันที่สะสมไว้ให้เป็นน้ำตาลและเปลี่ยนเป็นพลังงาน วิตามิน บี 5 จะเป็นตัวสำคัญในการเปลี่ยนไขมันเป็นน้ำตาล และมีส่วนช่วยทำให้บาดแผลหายเร็วขึ้น ร่างกายหายจากอาการช็อคหลังการผ่าตัดใหญ่ และยังมีส่วนช่วยให้อาการอ่อนเพลียดีขึ้น
11.วิตามิน บี 6
ทำหน้าที่มากมาย ดังปรากฏด้านล่าง
: ช่วยสร้างภูมิต้านทานและช่วยสร้างเซลล์โลหิตได้ดียิ่งขึ้น
: ช่วยร่างกายสร้างน้ำย่อยในกระเพาะอาหารและแร่ธาตุแมกนีเซียม
: ช่วยบรรเทาโรคที่เกิดจากระบบประสาทและผิวหนัง
: ช่วยแก้ไขการเป็นตะคริว แขนขาชาและช่วยขับปัสสาวะ
: ช่วยบรรเทาอาการปากแห้งและคอแห้ง
: ช่วยเปลี่ยนกรดอะมิโนให้เป็นวิตามินบี 3
ฝากกดไลท์ กดแชร์ บล็อคด้วยครับ เผื่อบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับหลายๆท่านครับ 😊
ฮอร์โมนที่มีบทบาทสำคัญในการหมุนเข็มนาฬิกาชีวิตกลับมา มีชื่อว่าโกรท ฮอร์โมนซึ่งเป็น “Master Hormone” หรือฮอร์โมนหลักของร่างกาย เป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกันทุกระบบ และทุกการทำงานของร่างกาย มีหน้าที่ในการสร้างเนื้อเยื่อ และควบคุมการทำงานของเนื้อเยื่อ ทำให้ร่างกายเจริญเติบโตในวัยที่ยังโตไม่เต็มที่ และสร้างเนื้อเยื่อ ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย นอกจากนี้ ยังเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมการเผาผลาญไขมันและเปลี่ยนไขมันเป็นพลังงาน
ระดับโกรทฮอร์โมนในร่างกายของมนุษย์ จะถึงจุดสูงสุดเมื่อมนุษย์ย่างเข้าสู่วัยรุ่น หลังจากคนมีอายุได้ 20 ปี การผลิตโกรท ฮอร์โมนจะลดลงด้วยอัตรา 14% ทุก 10 ปี เมื่อคนเรามีอายุ 60 ปี ระดับของโกรท ฮอร์โมนในร่างกายจะมีประมาณ 25% ระดับที่เคยผลิตได้สูงสุด อาการของโกรท ฮอร์โมน ที่ลดลง สังเกตได้ตั้งแต่ กล้ามเนื้อน้อยลง ไขมันเพิ่มขึ้น ลงพุง กระดูกผุ กระดูกพรุน ไต กับปอด ทำงานไม่ดี ผิวเหี่ยวชราลง ผมหงอก ร่างกายเสื่อมสภาพลง เข้าสู่สภาวะของความแก่ชรา
อวัยวะที่มีผลกระทบโดยตรงต่อการลดลงของระดับโกรท ฮอร์โมน คือ หัวใจ ที่สำคัญที่สุดในร่างกาย เมื่อระดับโกรท ฮอร์โมนต่ำลง คนจะมีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจเพิ่มขึ้น โคเลสเตอรอล และ ไตรกรีเซอร์ไรด์สูงขึ้น การที่ทำให้ระดับโกรท ฮอร์โมน ในกระแสเลือดเพิ่มขึ้น จะช่วยลดอาการเหล่านี้ได้
รายงานทางการแพทย์พบว่า ในคนที่มีน้ำหนักเกิน หรือ คนอ้วน จะมีระดับโกรท ฮอร์โมนโดยธรรมชาติลดลง เช่นเดียวกับ ในยามที่อายุมากขึ้น และเมื่อเราสามารถลดน้ำหนักลงได้ ระดับโกรท ฮอร์โมน โดยธรรมชาติจะเพิ่มขึ้น ทำให้คนที่น้ำหนักลดลง ดูหนุ่มสาวขึ้น
ใน 10 ปีที่ผ่านมานี่เอง มีการนำกรดอะมิโนกลุ่มหนึ่ง เช่น กลูตามีน ออร์นิทีน ไกลซีน อาร์จินีน ไลซีน มาใช้ในการกระตุ้นการผลิต โกรท ฮอร์โมนจากธรรมชาติโดยไม่ต้องฉีด โดยที่ผู้ที่เข้ารับการทดลองจะได้รับกรดอะมิโนกลุ่มนี้ โดยการรับประทาน จากนั้นทำการเจาะเลือดวัดระดับ IGF- 1 พบว่ากรดอะมิโนในสูตรที่เหมาะสม สามารถกระตุ้นการผลิตโกรท ฮอร์โมนจากธรรมชาติ ได้ใกล้เคียงกับการฉีด ทั้งยังตัดปัญหาเรื่องผลข้างเคียงจากการฉีด และ ยังมีราคาถูกกว่ามากมายด้วย ผลของโกรท ฮอร์โมน ไม่ว่าจะมาจากการฉีด หรือ การรับประทาน ยังทำให้ผิวหนังชั้นหนังแท้หนาขึ้น ริ้วรอยลดลง แลดูอ่อนเยาว์ ผม และเล็บ แข็งแรงขึ้น ผมดกดำเป็นเงาอีกด้วย
ส่วนประกอบสำคัญ
1. แอล กลูตามีน
เป็นกรดอะมิโนที่มีปริมาณมากที่สุดในร่างกาย ซึ่งปกติแล้วร่างกายสังเคราะห์ได้เอง ยกเว้นในบางสภาวะที่ร่างกายต้องการ แอล กลูตามีนมากกว่าปกติ หรือ สังเคราะห์ได้ไม่ดีนัก เช่น ในนักกีฬาที่ฝึกฝนอย่างหนัก หรือ ผู้ที่มีปัญหาในระบบทางเดินอาหาร บทบาทของ แอลกลูตามีน คือ เป็นสารกระตุ้นการสร้างโกรทฮอร์โมน จากต่อมใต้สมอง มากกว่า 60 % ของแอลกูลตามีน จะอยู่ในเซลล์กล้ามเนื้อ ทำหน้าที่เสริมสร้างเซลล์กล้ามเนื้อและช่วยซ่อมแซมเซลล์กล้ามเนื้อที่บาดเจ็บ หรือสึกหรอ ลดการอ่อนล้าของกล้ามเนื้อ และ ลดการเสื่อมสลายของกล้ามเนื้อ แอล กลูตามีน เป็นแหล่งพลังงานที่ดียิ่งของสมอง โดยที่ตัวมันเองเป็นสารตั้งต้นในการผลิตสารสื่อประสาท คือ กลูตาเมท (Glutamate) และ กาบ้า (GABA) เพื่อเป็นอาหารให้สมอง และช่วยกำจัดสารแอมโมเนีย ที่เกิดจากการทำงานหนักของสมอง จึงช่วยลดสภาวะตึงเครียดได้ในสมองมีกลูตามีนในปริมาณมาก ทำหน้าที่เป็นแหล่งพลังงานสำรองในยามที่สมองขาดน้ำตาลซึ่งเป็นแหล่งพลังงานแรก การเพิ่มปริมาณกลูตามีนในร่างกายจึงช่วยให้มีสมาธิดีขึ้น มีความจำดี ความคิดว่องไว และ เฉียบคมขึ้น ตื่นตัว และ ทำให้อารมณ์ดี ลดและป้องกันอาการสมองมึนงง แอล กลูตามีน ยังช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น โดยการช่วยเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาว เซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันส่วนใหญ่จะใช้พลังงานจากกลูตามีน และยังช่วยกระตุ้นการเผาผลาญของร่างกาย แอล กลูตามีน ช่วยระงับความหิว ซึ่งเป็นกลไกที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับการควบคุมน้ำหนัก และ การลดน้ำหนัก เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลง กลูตามีนจะทำหน้าที่ยับยั้งการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อน ป้องกันระดับน้ำตาลลดต่ำมากเกินไป จะทำให้เราไม่รู้สึกหิว นอกจากระงับความหิวอันเนื่องจากน้ำตาลตกแล้ว ยังสามารถระงับความอยากเหล้าได้ด้วย ที่น่าสนใจสำหรับคนไข้โรคเบาหวาน คือ กลูตามีนช่วยให้ตับอ่อนทำงานดีขึ้นได้ด้วย
2. แอล ไลซีน
เป็นกรดอะมิโนจำเป็น คือ ร่างกายไม่สามารถสร้างได้เอง จำเป็นต้องได้รับจากอาหาร แอล ไลซีน มีบทบาทในการกระตุ้นการสร้างโกรทฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง และจำเป็นในการสร้างกล้ามเนื้อ นอกจากนี้การบริโภค แอล ไลซีนยังทำให้ผิวพรรณสวยงามเนื่องจาก แอล ไลซีนเป็นหนึ่งในสารตั้งต้นในการผลิตคอลลาเจนโปรตีน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของผิว ผม เล็บ กระดูก และกระดูกอ่อน บทบาทของ แอล ไลซีนกับกระดูก นอกจากเป็นสารตั้งต้นในการผลิตคอลลาเจนแล้ว แอบ ไลซีน ยังทำหน้าที่เพิ่มการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกายอีกด้วย และ ช่วยลดโอกาสเกิดโรคเริม และ งูสวัด
3. แอล ออร์นิทีน
เป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายสังเคราะห์ได้เอง มีบทบาทช่วยกระตุ้นการสร้างโกรท ฮอร์โมนของต่อมใต้สมอง แอล ออร์นิทีน ช่วยในการสร้างกล้ามเนื้อป้องกันการสูญเสียกล้ามเนื้อ และกระตุ้นการสลายไขมันในร่างกาย โดยเฉพาะเมื่อมีการบริโภคร่วมกับ แอล อาร์จีนีน และ แอล คาร์นิทีน นอกจากนี้ แอล ออร์นิทีน ยังมีบทบาทสำคัญในการเป็นสารตั้งต้น เพื่อสังเคราะห์กรดอะมิโนตัวอื่นๆ ที่ให้พลังงานแก่เซลล์ในร่างกายแอล ออร์นิทีน ยังช่วยกำจัดสารพิษพวกแอมโมเนียออกจากตับ และ ช่วยให้ผู้ป่วยโรคตับแข็งมีอาการดีขึ้น รวมทั้งผู้ป่วยโรคตับชนิดต่างๆ ด้วย นอกจากนี้ ยังช่วยให้แผลหายเร็ว และ ร่างกายมีการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้เร็วยิ่งขิ้น
4. แอล อาร์จินีน
เป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายสังเคราะห์ได้เอง มีบทบาทในการกระตุ้นการสร้างโกรท ฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง นอกจากนี้ ยังมีความสำคัญกับระบบหัวใจและหลอดเลือด โดย แอล อาร์จินีน เป็นสารหลักในการสร้างสารไนตริก ออกไซด์ (Nitric Oxide) ทำให้หลอดเลือดขยายตัว ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด ช่วยปรับสมดุลโคเลสเตอรอล ช่วยให้บาดแผลหายเร็ว และเสริมสร้างภูมิต้านทาน เสริมสมรรถนะเพศชาย กระตุ้นการเผาผลาญไขมัน ปรับสมดุลความดันโลหิต และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วย
5. แอล ไกลซีน
เป็นกรดอะมิโนที่มีขนาดเล็กที่สุดในบรรดากรดอะมิโนทั้งหมด ร่างกายสามารถสังเคราะห์ได้เอง มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการสร้างโกรท ฮอร์โมน นอกจากนี้ ยังมีบทบาทในการสร้างกล้ามเนื้อ ลดการสลายกล้ามเนื้อ และเปลี่ยนน้ำตาลกลูโคสให้เป็นพลังงานป้องกันร่างกายจากภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ จึงช่วยไม่ให้หิวในระหว่างมื้ออาหาร และ ช่วยป้องกันอาการอ่อนล้าหมดแรง ช่วยให้ระบบสมอง และ ประสาท ทำงานเต็มประสิทธิภาพ รวมทั้ง ช่วยการทำงานของระบบย่อยอาหาร แอล ไกลซีน มีความสำคัญต่อความสวยงามของผิวหนังอย่างยิ่งเนื่องจากไกลซีน เป็นส่วนประกอบสำคัญของคอลลาเจนโปรตีน โดยที่โครงสร้างของคอลลาเจนประกอบด้วยไกลซีนถึงหนึ่งในสาม หากร่างกายเราปราศจากไกลซีน หรือ มีปริมาณไม่เพียงพอ ร่างกายจะไม่สามารถซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ หรือ บาดเจ็บได้ ผิวหนังของเราจะเหี่ยวย่น และ คล้อยยาน แลดูแก่ชรา
6. อินโนซิทอล
ช่วยในการบำรุงสมอง และเซลล์ประสาท เนื่องจากอินโนซิทอล เป็นสารต้นตอของฟอสฟาดิลอินโนซิทอล (Phosphatidylinositol) ซึ่งเป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์ประสาท พบว่าระหว่างที่เรานอนหลับ อินโนซิทอล จะช่วยให้ร่างกายนำไขมันและโคเลสเตอรอลมาใช้ระหว่างที่นอนหลับ ทำให้หลับสบายขึ้น อินโนซิทอล ยังใช้ในการบำบัดอาการเจ็ดปวด และชา เนื่องจากเซลล์ประสาทที่ถูกทำลายในผู้เป็นเบาหวาน ช่วยบำรุงสุขภาพของกระดูก เนื้อเยื่อของตา และลำไส้
7. แอลไอไซลิวซีน
เป็นกรดอะมิโน ที่ได้รับจากพืชผักใบเขียว จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตและพัฒนาการเรียนรู้ (IQ) เป็นที่ต้องการอย่างมากสำหรับรูปร่างของเม็ดเลือดแดง ควบคุมน้ำตาลในเลือด เป็นสิ่งมีค่ามากสำหรับนักกีฬา เพราะช่วยเหลือในการรักษา และ ซ่อมแซมเนื้อเยื้อกล้ามเนื้อ ผิวหนัง และ กระดูก พบได้น้อยในคนที่มีความผิดปกติทางจิต และ ความผิดปกติทางร่างกาย ไกลซีน คือ กรดอะมิโนที่ช่วยกระตุ้นการปล่อยออกซิเจนซึ่งจำเป็นต่อกระบวนการสร้างเซลล์ เป็นกรดที่จำเป็นในการสร้างฮอร์โมนที่เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
8. เวย์โปรตีน Ieucine, Isoleucine, Valine
ทำหน้าที่ฟื้นฟูกล้ามเนื้อ เสริมสร้างกล้ามเนื้อ เพราะเป็นกลุ่มกรดอะมิโนที่ช่วยกระตุ้นการหลั่ง โกรท ฮอร์โมน ที่ไปกระตุ้นการย่อยสลายและสังเคราะห์โปรตีนของร่างกาย จึงทำให้สามารถดูดซึมโปรตีนเพื่อนำไปสร้างกล้ามเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
9.วิตามิน บี 3
ทำหน้าที่ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือดได้ จากการทดลองผลการลดระดับไขมันในเลือด จะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดหลังการประทาน 5 - 7 สัปดาห์ ส่วนเกินที่รับประทานเข้าไป ร่างกายจะขับออกผ่านทางปัสสาวะ
10. วิตามิน บี 5
ทำหน้าที่ช่วยสร้างความเจริญเติบโตของร่างกาย สร้างเซลล์ใหม่ บำรุงและสร้างแอนตี้บอดี้ซึ่งเป็นตัวสำคัญของภูมิชีวิต เมื่อร่างกายเปลี่ยนไขมันที่สะสมไว้ให้เป็นน้ำตาลและเปลี่ยนเป็นพลังงาน วิตามิน บี 5 จะเป็นตัวสำคัญในการเปลี่ยนไขมันเป็นน้ำตาล และมีส่วนช่วยทำให้บาดแผลหายเร็วขึ้น ร่างกายหายจากอาการช็อคหลังการผ่าตัดใหญ่ และยังมีส่วนช่วยให้อาการอ่อนเพลียดีขึ้น
11.วิตามิน บี 6
ทำหน้าที่มากมาย ดังปรากฏด้านล่าง
: ช่วยสร้างภูมิต้านทานและช่วยสร้างเซลล์โลหิตได้ดียิ่งขึ้น
: ช่วยร่างกายสร้างน้ำย่อยในกระเพาะอาหารและแร่ธาตุแมกนีเซียม
: ช่วยบรรเทาโรคที่เกิดจากระบบประสาทและผิวหนัง
: ช่วยแก้ไขการเป็นตะคริว แขนขาชาและช่วยขับปัสสาวะ
: ช่วยบรรเทาอาการปากแห้งและคอแห้ง
: ช่วยเปลี่ยนกรดอะมิโนให้เป็นวิตามินบี 3
ฝากกดไลท์ กดแชร์ บล็อคด้วยครับ เผื่อบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับหลายๆท่านครับ 😊
วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2558
สารอาหารบำบัด จำเป็นหรือไม่?
สารอาหารบำบัด จำเป็นหรือไม่?
ทุกวันนี้คนเราเจอกับมลภาวะตั้งแต่อากาศที่หายใจ อาหารที่รับประทาน น้้าที่ดื่มทุกวัน ก่อให้เกิดปัญหา อนุมูลอิสระสะสมในร่างกายเป็นประจ้าทุกวันแบบไม่รู้ตัว หน่ำซ้ำอาวุธที่มนุษย์มีไว้ต่อต้านอนุมูลอิสระจาก ธรรมชาติก็ร่อยหรอลงไปทุกที จะหาผักผลไม้ปลอดสารพิษได้จากที่ไหน? แร่ธาตุในดินที่ลดลงไปเรื่อยๆ จะทำ ให้ผลไม้มีคุณค่าเพียงพอได้อีกกี่ปี? เศรษฐกิจซบเงินซื้อผลไม้ก็ดูจะกลายเป็นของฟุ่มเฟือยสำหรับบางครอบครัว หลากหลายปัญหาที่ทำให้มนุษย์เป็นโรคเสื่อม ทั้งเกิดจากภายนอกและจากภายในคือความเครียดจากการท้างานก็ ก่อให้เกิดปัญหากับระบบร่างกายเช่นเดียวกัน วันนี้อาจจะยังแข็งแรงอยู่ แต่ทุกอย่างมันกำลังก่อร่างสร้างตัวอยู่ใน ร่างกายของคุณนั่นเอง เมื่อใดเม็ดเลือดขาวแพ้ เมื่อนั้นก็จะแสดงอาการออกมา
สารอาหารบำบัดหรือที่ในบ้านเราเรียกกันว่า "ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร" นั้นดูหลายคนจะขยาดและอยาก วิ่งหนีเมื่อได้ยินค้านี้เพราะทราบว่าต้องเสียเงิน... จริงๆ แล้วมันเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการป้องกันและแก้ไขเรา จากโรคเสื่อมต่างๆ ที่มีอันดับการตายเป็นอันดับ 1 - 10 อยู่ทุกๆ ปี เช่น โรคหัวใจ, โรคมะเร็ง, โรคไขข้อ, โรคหลอด เลือดอุดตัน, โรคเบาหวาน ฯลฯ อีกสารพัดสาเหตุหลักที่เกิดโรคพวกนี้ขึ้นก็เพราะ "เซลอ่อนแอ" หรือ "เซล ขาดอ็อกซิเจน" เพราะสู้รบกับอนุมูลอิสระไม่ไหวนั่นเองจึงเป็นสาเหตุที่เราต้องมอง "สารอาหารบำบัด" เพื่อ ป้องกันโรคเสื่อมที่สะสมอยู่ในร่างกาย
ทำไมต้องใช้สารอาหารบำบัด
นพ.เรย์ ดี สแตรนด์ (Ray D. Strand, M.D.) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และผู้แต่งหนังสือ เมื่อคุณหมอไม่รู้จักอาหารเสริม ความตายอาจกำลังครอบงำคุณ และ ใบสั่งยา อาจฆ่าคุณ ทำการวิจัยเกือบ 10 ปี พบว่าคุณประโยชน์ของ "สารอาหารบำบัด" ที่มีคุณภาพสูงสามารถช่วยให้ร่างกายมีสมรรถภาพต่างๆ คือ เพิ่มภูมิต้านทานโรค เพิ่มศักยภาพให้ Antioxidant สารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันความเสื่อมความชรา และมะเร็ง ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคลมปัจจุบัน มะเร็ง ข้ออักเสบ ความเสื่อม ต้อกระจก อัลไซ เมอร์ พาร์กินสัน ภูมิแพ้ หืด โรคปอด โรคจากความเสื่อมเรื้อรัง ช่วยรักษาโรคที่มีความเสื่อมเริ้อรัง
จากข้อมูลในหนังสือของ คุณหมอเรย์ ดี สแตรนด์ ได้มีข้อมูลยืนยันว่า นักศึกษาแพทย์ได้เรียน ทางด้านโภชนาการ หรือเรื่องสารอาหารน้อยมาก แค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น จากการเรียนแพทย์ถึง 6 ปี ส่วนใหญ่จะ เรียนแต่เรื่องยากับการผ่าตัด ดังนั้นคุณหมอ 95% ในโลกนี้จะไม่มีความรู้เรื่อง ของอาหารเสริมเลย และจะบอกกับท่านว่า "ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ก็พอแล้ว"
ส่วนเหตุผลที่ควรจะทาน ให้ตอบคำถามเหล่านี้ดู
ถ้า...คุณตอบว่า ใช่...! ในข้อใดข้อหนึ่ง คุณสมควรทาน "สารบำบัด"
1.คุณไม่ได้กินอาหารดีๆ มีประโยชน์ทุกมื้อ เช่น ข้าวกล้อง ธัญพืช ผัก และผลไม้สดอินทรีย์ (ไร้สารพิษ 100%) เต้าหู้ สาหร่ายทะเล ปลา และอาหารทะเลไร้สารพิษ เป็นต้น
2.คุณไม่ได้ทานผักครบ 5 สีทุกมื้อหรือทานผักผลไม้ครบ 2 กิโลกรัมทุกวัน (หรือ 80% ใน 1 วัน)
3.คุณทานอาหารเป็นประเภททอด ปิ้ง ย่าง ผัด เป็นส่วนใหญ่และใช้ความร้อนกับน้้ามันพืชเกิน 60 องศาเซลเซียส (ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระมหาศาลตั้งแต่กระบวนการท้าอาหาร จนถึงรับประทานเข้าไป)
4.คุณไม่ได้ออกก้าลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้งขึ้นไป
5.คุณอยากมี "สุขภาพดี 120 ปี ไม่มีป่วย" หรืออยากมีสุขภาพดี ดูดี อ่อนกว่าวัย 10 - 30 ปี
6.คุณไม่อยากเป็นเหมือนคนทั่วไป ที่มีความเจ็บป่วย พิการ ดูเหมือนเป็นเรื่อง "ธรรมดา" ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น
•อายุ 40 ปี เริ่มมีโรค เริ่มพบแพทย์
•อายุ 50 ปี มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ต้องกินยาตลอดชีวิต
•อายุ 60 ปี ต้องนอนโรงพยาบาล เป็นมะเร็ง หรือผ่าตัดเสียเงินอีกหลายแสนบาท
•อายุ70 ปี ต้องนอนโรงพยาบาลนาน 2 - 3 เดือน หรือนอน ICU
•อายุ 80 ปี พิการ อัมพาต นอนบนเตียงตลอดชีวิต หรือตาย
คุณรู้หรือไม่?
การรักษาสุขภาพแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1. Preventive Medicine เป็นการแพทย์ที่เน้นการป้องกันไม่ให้เกิดโรคขึ้น
2. Curative Medicine เป็นการแพทย์ที่เน้นการรักษาเมื่อเกิดโรคแล้ว
แล้วคุณล่ะเลือกอยู่กลุ่มไหน?
--- ป้องกันก่อนเป็น --- หรือ--- เป็นแล้วค่อยรักษา ---
จริงๆ แล้วคุณสามารถป้องกันได้ทั้งหมด ด้วยการดูแลเซลให้แข็งแรงอยู่เสมอ กระตุ้นเม็ดเลือดขาวให้คอย ต่อต้านอนุมูลอิสระ ไม่ให้ส่วนไหนของร่างกายอ่อนแอ แต่จะท้าได้ "สารอาหารบำบัด" จึงจำเป็น อาหารเสริมที่ดี คืออาหารที่คนได้บริโภคอย่างต่อเนื่องด้วยความสะดวกไม่ยุ่งยาก บางทีอาหารเสริมดีดีหลาย ตัวคนใช้ไม่ได้ผล เพราะความยุ่งยากในการรับประทาน
ผลิตภัณฑ์ของ Synergy เป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีคู่แข่ง สามารถดูดซึม ได้สูง 90-100% คุณภาพสูง
สนใจขอรับคำแนะนำ
ติดต่อ 092-645-4256 โค้ชเกมส์
ทุกวันนี้คนเราเจอกับมลภาวะตั้งแต่อากาศที่หายใจ อาหารที่รับประทาน น้้าที่ดื่มทุกวัน ก่อให้เกิดปัญหา อนุมูลอิสระสะสมในร่างกายเป็นประจ้าทุกวันแบบไม่รู้ตัว หน่ำซ้ำอาวุธที่มนุษย์มีไว้ต่อต้านอนุมูลอิสระจาก ธรรมชาติก็ร่อยหรอลงไปทุกที จะหาผักผลไม้ปลอดสารพิษได้จากที่ไหน? แร่ธาตุในดินที่ลดลงไปเรื่อยๆ จะทำ ให้ผลไม้มีคุณค่าเพียงพอได้อีกกี่ปี? เศรษฐกิจซบเงินซื้อผลไม้ก็ดูจะกลายเป็นของฟุ่มเฟือยสำหรับบางครอบครัว หลากหลายปัญหาที่ทำให้มนุษย์เป็นโรคเสื่อม ทั้งเกิดจากภายนอกและจากภายในคือความเครียดจากการท้างานก็ ก่อให้เกิดปัญหากับระบบร่างกายเช่นเดียวกัน วันนี้อาจจะยังแข็งแรงอยู่ แต่ทุกอย่างมันกำลังก่อร่างสร้างตัวอยู่ใน ร่างกายของคุณนั่นเอง เมื่อใดเม็ดเลือดขาวแพ้ เมื่อนั้นก็จะแสดงอาการออกมา
สารอาหารบำบัดหรือที่ในบ้านเราเรียกกันว่า "ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร" นั้นดูหลายคนจะขยาดและอยาก วิ่งหนีเมื่อได้ยินค้านี้เพราะทราบว่าต้องเสียเงิน... จริงๆ แล้วมันเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการป้องกันและแก้ไขเรา จากโรคเสื่อมต่างๆ ที่มีอันดับการตายเป็นอันดับ 1 - 10 อยู่ทุกๆ ปี เช่น โรคหัวใจ, โรคมะเร็ง, โรคไขข้อ, โรคหลอด เลือดอุดตัน, โรคเบาหวาน ฯลฯ อีกสารพัดสาเหตุหลักที่เกิดโรคพวกนี้ขึ้นก็เพราะ "เซลอ่อนแอ" หรือ "เซล ขาดอ็อกซิเจน" เพราะสู้รบกับอนุมูลอิสระไม่ไหวนั่นเองจึงเป็นสาเหตุที่เราต้องมอง "สารอาหารบำบัด" เพื่อ ป้องกันโรคเสื่อมที่สะสมอยู่ในร่างกาย
ทำไมต้องใช้สารอาหารบำบัด
นพ.เรย์ ดี สแตรนด์ (Ray D. Strand, M.D.) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และผู้แต่งหนังสือ เมื่อคุณหมอไม่รู้จักอาหารเสริม ความตายอาจกำลังครอบงำคุณ และ ใบสั่งยา อาจฆ่าคุณ ทำการวิจัยเกือบ 10 ปี พบว่าคุณประโยชน์ของ "สารอาหารบำบัด" ที่มีคุณภาพสูงสามารถช่วยให้ร่างกายมีสมรรถภาพต่างๆ คือ เพิ่มภูมิต้านทานโรค เพิ่มศักยภาพให้ Antioxidant สารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันความเสื่อมความชรา และมะเร็ง ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคลมปัจจุบัน มะเร็ง ข้ออักเสบ ความเสื่อม ต้อกระจก อัลไซ เมอร์ พาร์กินสัน ภูมิแพ้ หืด โรคปอด โรคจากความเสื่อมเรื้อรัง ช่วยรักษาโรคที่มีความเสื่อมเริ้อรัง
จากข้อมูลในหนังสือของ คุณหมอเรย์ ดี สแตรนด์ ได้มีข้อมูลยืนยันว่า นักศึกษาแพทย์ได้เรียน ทางด้านโภชนาการ หรือเรื่องสารอาหารน้อยมาก แค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น จากการเรียนแพทย์ถึง 6 ปี ส่วนใหญ่จะ เรียนแต่เรื่องยากับการผ่าตัด ดังนั้นคุณหมอ 95% ในโลกนี้จะไม่มีความรู้เรื่อง ของอาหารเสริมเลย และจะบอกกับท่านว่า "ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ก็พอแล้ว"
ส่วนเหตุผลที่ควรจะทาน ให้ตอบคำถามเหล่านี้ดู
ถ้า...คุณตอบว่า ใช่...! ในข้อใดข้อหนึ่ง คุณสมควรทาน "สารบำบัด"
1.คุณไม่ได้กินอาหารดีๆ มีประโยชน์ทุกมื้อ เช่น ข้าวกล้อง ธัญพืช ผัก และผลไม้สดอินทรีย์ (ไร้สารพิษ 100%) เต้าหู้ สาหร่ายทะเล ปลา และอาหารทะเลไร้สารพิษ เป็นต้น
2.คุณไม่ได้ทานผักครบ 5 สีทุกมื้อหรือทานผักผลไม้ครบ 2 กิโลกรัมทุกวัน (หรือ 80% ใน 1 วัน)
3.คุณทานอาหารเป็นประเภททอด ปิ้ง ย่าง ผัด เป็นส่วนใหญ่และใช้ความร้อนกับน้้ามันพืชเกิน 60 องศาเซลเซียส (ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระมหาศาลตั้งแต่กระบวนการท้าอาหาร จนถึงรับประทานเข้าไป)
4.คุณไม่ได้ออกก้าลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้งขึ้นไป
5.คุณอยากมี "สุขภาพดี 120 ปี ไม่มีป่วย" หรืออยากมีสุขภาพดี ดูดี อ่อนกว่าวัย 10 - 30 ปี
6.คุณไม่อยากเป็นเหมือนคนทั่วไป ที่มีความเจ็บป่วย พิการ ดูเหมือนเป็นเรื่อง "ธรรมดา" ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น
•อายุ 40 ปี เริ่มมีโรค เริ่มพบแพทย์
•อายุ 50 ปี มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ต้องกินยาตลอดชีวิต
•อายุ 60 ปี ต้องนอนโรงพยาบาล เป็นมะเร็ง หรือผ่าตัดเสียเงินอีกหลายแสนบาท
•อายุ70 ปี ต้องนอนโรงพยาบาลนาน 2 - 3 เดือน หรือนอน ICU
•อายุ 80 ปี พิการ อัมพาต นอนบนเตียงตลอดชีวิต หรือตาย
คุณรู้หรือไม่?
การรักษาสุขภาพแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1. Preventive Medicine เป็นการแพทย์ที่เน้นการป้องกันไม่ให้เกิดโรคขึ้น
2. Curative Medicine เป็นการแพทย์ที่เน้นการรักษาเมื่อเกิดโรคแล้ว
แล้วคุณล่ะเลือกอยู่กลุ่มไหน?
--- ป้องกันก่อนเป็น --- หรือ--- เป็นแล้วค่อยรักษา ---
จริงๆ แล้วคุณสามารถป้องกันได้ทั้งหมด ด้วยการดูแลเซลให้แข็งแรงอยู่เสมอ กระตุ้นเม็ดเลือดขาวให้คอย ต่อต้านอนุมูลอิสระ ไม่ให้ส่วนไหนของร่างกายอ่อนแอ แต่จะท้าได้ "สารอาหารบำบัด" จึงจำเป็น อาหารเสริมที่ดี คืออาหารที่คนได้บริโภคอย่างต่อเนื่องด้วยความสะดวกไม่ยุ่งยาก บางทีอาหารเสริมดีดีหลาย ตัวคนใช้ไม่ได้ผล เพราะความยุ่งยากในการรับประทาน
ผลิตภัณฑ์ของ Synergy เป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีคู่แข่ง สามารถดูดซึม ได้สูง 90-100% คุณภาพสูง
สนใจขอรับคำแนะนำ
ติดต่อ 092-645-4256 โค้ชเกมส์
คลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) "The Blood of The Plant"
คลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) “The Blood of the plant”
เกือบ 100 ปี แห่งการค้นพบ
คลอโรฟิลล์(Chlorophyll) คือสารประกอบที่ทำให้พืชมีสีเขียวและใช้ในการสังเคราะห์แสง
(Photosynthesis) มีการค้นพบสูตรโครงสร้างทางเคมีครั้งแรก เมื่อประมาณต้นศตวรรษที่ 20
โดยนักวิทยาศาสตร์ชื่อ ศาสตราจารย์ฮาน์ส ฟิชเชอร์ (Hanns Fisher, M.D.) และเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับรางวัลโนเบล (Nobel Prizes)เนื่องจากสามารถค้นพบ ความสัมพันธ์ระหว่างเม็ดเลือดแดงและคลอโร
ฟิลล์ ทำให้เราทราบว่า สูตรโครงสร้างโมเลกุลของคลอโรฟิลล์ใกล้เคียงกับโมเลกุลของเม็ดเลือดแดง ต่างกันเฉพาะตรงกลางที่คลอโรฟิลล์มีแมกนีเซียม(Mg) และเม็ดเลือดแดงมีเหล็ก (Fe) จึงทำให้สีของมันต่างกัน คือ คลอโรฟิลล์มีสีเขียว แต่เม็ดเลือดมีสีแดง
จากการวิจัยทางการแพทย์หลายๆ การวิจัยก็ยืนยันได้ว่าร่างกายของเราก็
จะสามารถนำเอาสารคลอโรฟิลล์นี้ไปเป็นสารตั้งต้นในการสร้างเม็ดเลือด
แดง (Red Blood Cell) เมื่อร่างกายของเราต้องการ ทำให้อัตราการเพิ่ม
ของเม็ดเลือดแดงดีขึ้น
ลิควิด คลอโรฟิลล์ พลัส (Liquid Chlorophyll Plus)
เป็นคลอโรฟิลล์รูปแบบน้ำ ด้วยส่วนผสมของ โซเดียมคอปเปอร์คลอโรฟิลลิน (Sodium Copper
Chlorophyll) เป็นการดัดแปลงโครงสร้าง คลอโรฟิลล์ตามธรรมชาติ ทำให้ได้สารคลอโรฟิลล์ที่มีความ
คงตัวและละลายน้ำได้ดี ผ่านมาตรฐานของ องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA)
รับประทานง่ายและดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว แต่งรสชาติให้อร่อยขึ้นด้วยเปปเปอร์มินท์
(Peppermint)
ส่วนประกอบหลักของ ลิควิด คลอโรฟิลล์ พลัส (Liquid Chlorophyll Plus)
Alfafa (Lucene) มหัศจรรย์อัลฟาฟ่า
อัลฟาฟ่า เป็นพืชที่มีระบบรากยาว สามารถชอนไชลงไปในดินถึงกว่า 130 ฟุต จึงทำให้สามารถหาอาหารได้มีประสิทธิภาพมาก กว่าพืชชนิดอื่นๆ อีกทั้งระบบการป้องกันตัวเอง ป้องกันสารพิษได้ดีกว่าพืชชนิดอื่นๆ อัลฟาฟ่า เป็นพืชที่ให้กรดอะมิโนจำเป็นอุดมไปด้วยวิตามิน A, B6, D, E, K, เกลือแร่ฟอสฟอรัส โปแตสเซียม และแคลเซียมใช้สำหรับบำบัดอาการปวดข้อและอักเสบต่างๆ เช่น ปวดข้อ (Arthritis) ไปจนกระทั่งถึงความผิดปกติในระบบทางเดินอาหารและเซลล์ในตับถูกทำลาย ช่วยให้เลือดสะอาดขึ้น
อัลฟาฟ่า เป็นพืชที่มีระบบรากยาว สามารถชอนไชลงไปในดินถึงกว่า 130 ฟุต จึงทำให้สามารถหาอาหารได้มีประสิทธิภาพมาก กว่าพืชชนิดอื่นๆ อีกทั้งระบบการป้องกันตัวเอง ป้องกันสารพิษได้ดีกว่าพืชชนิดอื่นๆ อัลฟาฟ่า เป็นพืชที่ให้กรดอะมิโนจำเป็นอุดมไปด้วยวิตามิน A, B6, D, E, K, เกลือแร่ฟอสฟอรัส โปแตสเซียม และแคลเซียมใช้สำหรับบำบัดอาการปวดข้อและอักเสบต่างๆ เช่น ปวดข้อ (Arthritis) ไปจนกระทั่งถึงความผิดปกติในระบบทางเดินอาหารและเซลล์ในตับถูกทำลาย ช่วยให้เลือดสะอาดขึ้น
ใบหม่อน (Mulberry)
มีสารจำพวกฟลาโวนอยด์ ไฟโตสเตียรอล ไตรเทอร์ปีน แอลคาลอยด์ เซราไมด์ และน้ำมันหอมระเหย นอกจากนี้ยังมีสารอาหารต่าง ๆ ในปริมาณสูง เช่น คาร์โบไฮเดรต เพคติน โปรตีน เส้นใยอาหาร รวมทั้งวิตามินบี ซี และเบต้าแคโรทีนด้วย มีฤทธิ์ในการยับยั้งการสร้างเมลานิน ขบวนการสร้างเม็ดสีที่ผิวหนัง บำรุงสายตา ช่วยลดคอเลสเตอรอล ลดปริมาณน้ำตาลในเลือด
มีสารจำพวกฟลาโวนอยด์ ไฟโตสเตียรอล ไตรเทอร์ปีน แอลคาลอยด์ เซราไมด์ และน้ำมันหอมระเหย นอกจากนี้ยังมีสารอาหารต่าง ๆ ในปริมาณสูง เช่น คาร์โบไฮเดรต เพคติน โปรตีน เส้นใยอาหาร รวมทั้งวิตามินบี ซี และเบต้าแคโรทีนด้วย มีฤทธิ์ในการยับยั้งการสร้างเมลานิน ขบวนการสร้างเม็ดสีที่ผิวหนัง บำรุงสายตา ช่วยลดคอเลสเตอรอล ลดปริมาณน้ำตาลในเลือด
ต้นอ่อนข้าวบาร์เลย์
สารสกัดที่สำคัญจากใบอ่อนข้าวบาร์เลย์ คือ 2”-O-glycosylisovitexin (2”-O-GIV) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ป้องกันอันตรายจากการทำลายผิวจากรังสี UV ซึ่งสูงกว่าวิตามิน E ประมาณ 500 เท่า นอกจากนี้ยังเป็นสารที่มีความยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระได้มากกว่า วิตามิน C อีกด้วย
สารสกัดที่สำคัญจากใบอ่อนข้าวบาร์เลย์ คือ 2”-O-glycosylisovitexin (2”-O-GIV) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ป้องกันอันตรายจากการทำลายผิวจากรังสี UV ซึ่งสูงกว่าวิตามิน E ประมาณ 500 เท่า นอกจากนี้ยังเป็นสารที่มีความยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระได้มากกว่า วิตามิน C อีกด้วย
ประโยชน์ของ ลิควิด คลอโรฟิลล์ พลัส
1. ช่วยให้ผิวพรรณขาวสดใส เปล่งปลั่ง แก้ปัญหาเรื่องสิว ฝ้า ชะลอความชรา
1. ช่วยให้ผิวพรรณขาวสดใส เปล่งปลั่ง แก้ปัญหาเรื่องสิว ฝ้า ชะลอความชรา
2. ต่อต้านการกลายพันธุ์ของเซลล์ และลดอัตราการเกิดมะเร็ง
3. มีฤทธิ์ในการต้านการติดเชื้อ และมีความสามารถในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
4. ลดอาการติดเชื้อของแผลในช่องปากและระบบทางเดินอาหาร และดับกลิ่นกาย กลิ่นปาก
5. ช่วยในการรักษาบาดแผลรักษาอาการท้องผูกระบบขับถ่ายดีขึ้น
6. รักษาภาวะนิ่วบางชนิด กระตุ้นการสร้างเลือดในผู้ป่วยโลหิตจาง
7. ช่วยเพิ่มปริมาณเลือดให้กับร่างกาย ช่วยขจัดพิษในเลือด, ตับ และไต
8. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการนำพาอ๊อกซิเจนเข้าสู่เซลล์
9. ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด คอเรสเตอรอลและความดันโลหิต
10. ช่วยบรรเทาอาการภูมิแพ้และอาการปวดต่างๆ เช่น ปวดข้อ ปวดศรีษะ ปวดไมเกรน
11. ช่วยให้เลือดสะอาดเสริมธาตุเหล็กให้กับร่างกาย เพิ่มเซลล์เม็ดเลือดแดง
12. เป็นสารอาหารบำรุงเส้นผม ช่วยลดอาการผมร่วง
13. ช่วยทำให้การมองเห็นดีขึ้น สาหรับคนที่เป็นต้อกระจก
14. ช่วยให้ร่างการสดชื่น หายเหนื่อยจากการอ่อนเพลียเมื่อยล้าหลังจากการทำงานหนัก
15. เสริมระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันกระดูกพรุน
16. ลดอาการปวดประจำเดือน และอาการประจำเดือนมาไม่ปกติ
17. บรรเทาอาการชา บวมและเส้นเลือดขอดให้ทุเลาลงได้
18. ช่วยบรรเทาเรื่องโรคกระเพาะและลำไส้อักเสบได้
19. ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย สารตกค้างของยาปฏิชีวนะ สารเคมีตกค้างในอาหาร
20. ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานดี สุขภาพแข็งแรง
ติดต่อ 092-645-4256 โค้ชเกมส์
คลอโรฟิลล์ที่ทางการแพทย์ยอมรับ
คลอโรฟิลล์ที่ทางการแพทย์ยอมรับคือ :
คลอโรฟิลล์ที่ทางการแพทย์ยอมรับคือ คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ ต้องมี สารคลอโรฟิลล์อย่างน้อย
95 % นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการทดลองจนในที่สุดพบว่า มันคือ คลอโรฟิลล์ชนิดที่ละลายในน้ำ (Water Soluble Chlorophyll) ซึ่งคลอโรฟิลล์โดยตัวของมันเอง.... ไม่ละลายในน้ำ
ด้วยกระบวนการเทคนิคพิเศษอย่างน้อย 15 ขั้นตอนนี้ สามารถทำให้คลอโรฟิลล์ละลายในน้ำได้ ทางการแพทย์ได้ทำการวิจัยคลอโรฟิลล์ชนิดที่ละลายในน้ำกันอย่างกว้างขวางและมากมายเป็นที่ยอมรับในวงการแพทย์ (Medicinal Use) โดยเฉพาะกลุ่มนักวิจัยส่วนใหญ่ของมหาวิทยาลัยเทมเปิล ประเทศสหรัฐอเมริกา นำทีมโดย นายแพทย์ลอเรนซ์ สมิท ซึ่งเป็นศาสตราจารย์นายแพทย์สาขาพยาธิวิทยา ได้รวบรวมข้อมูลสำคัญของคลอโรฟิลล์ชนิดละลายในน้ำ ดังนี้ :
1.เป็นสารบริสุทธิ์ควรเลือกใช้ทางคลินิก (Water soluble derivatives are purified and much preferable in clinical use )
2. ผลของการใช้นุ่มนวลและไม่มีอาการระคายเคือง (Bland and non-irritating)
3. จากการทดลองในมนุษย์และสัตว์ในวิธีการแพทย์ รวมทั้งการฉีดเข้าใต้ผิวหนังและฉีดเข้าเส้นเลือดดำ ไม่ปรากฎอาการของพิษใดๆ (Total absence of toxic effects)
คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ทางการแพทย์ได้วิจัยสรุปผลดังนี้
- ดร. เรดพาธและคณะฯ รายงานผลที่น่าพอใจในการใช้คลอโรฟิลล์รักษาผู้ป่วยจากโรคทางเดินหายใจ 1,000 ราย
- มหาวิทยาลัยโลโยล่า ประเทศสหรัฐอเมริกา กลุ่มทันตแพทย์รักษาผู้ป่วยกว่า 1,700 ราย พบว่าคลอโรฟิลล์สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในช่องปากได้
- ดร. เคปฮาร์ รายงานผลการใช้คลอโรฟิลล์รักษาผู้ป่วยเป็นโรคโลหิตจาง พบว่าได้ผลดีในผู้ป่วยที่ไม่ขาดธาตุเหล็กและธาตุทองแดง
- ทันตแพทย์โกลด์เบิร์ก ใช้คลอโรฟิลล์รักษาผู้ปวย 300 ราย ที่เหงือกเป็นหนองเลือดออกตามไรฟันและฟันโยก ปรากฎว่าได้ผลดีมาก
- ในโรงพยาบาลทหาร ดร. โบเวอร์ส ใช้คลอโรฟิลล์ทาแผล ปรากฎว่ากลิ่นเหม็นเน่าของแผลลดลง และอาการอักเสบดีขึ้นจนกระทั่งหายไป
- ดร. มอร์แดน ใช้ขี้ผึ้งคลอโรฟิลล์รักษาแผลไฟไหม้ได้ผลดี
- ดร. ฟอลล็อค ได้เปรียบเทียบในการรักษาแผลกดทับ (Bedsore) ด้วยยาหลายชนิดพบว่าคลอโรฟิลล์ได้ผลดีที่สุด
- ดร. เบอร์กี้ รายงานว่าคลอโรฟิลล์ช่วยรักษาโรคโลหิตจางได้หลายชนิด ทำให้หัวใจทำงานมีประสิทธิภาพดีขึ้น ช่วยลดความดันสูง และกระตุ้นทางเดินอาหารให้ทำงานดีขึ้น
- ดร. แครนซ์ วิจัยพบว่าคลอโรฟิลล์บรรเทาอาการของโรคกระเพาะอาหารอักเสบได้ดี และจากรายงานของ ดร. ซามูแอล ในคนไข้ที่เลือดออกในกระเพาะอาหาร 36 ราย ปรากฎว่าทุกรายมีอาการดีขึ้นและหายภายใน 12-22 วัน
- ค.ศ. 1980 มีรายงานในผู้ป่วยด้วยโรคตับอักเสบเรื้อรังจำนวน 34 ราย โดยการฉีดคลอโรฟิลล์เข้าเส้นเลือดปรากฎว่าได้ผลดี 23 ราย
- ดร. โยชิดาและคณะ ฯ พบว่าคลอโรฟิลล์บรรเทาอาการของโรคตับอ่อนอักเสบ และมีรายงานวิจัยอีกหลายคณะในประเทศญี่ปุ่น ในการใช้คลอโรฟิลล์รักษาโรคตับอ่อนอักเสบ
- ดร. เบอร์กี้ พิมพ์หนังสือชื่อ “Chlorophyll as pharmaceutical” กล่าวถึง การใช้คลอโรฟิลล์ได้ผลดีในผู้ป่วย 112 ราย ที่ป่วยด้วยโรคความดันสูง และหลอดเลือดแข็งตัว
- ดร. แอนเจโล ศึกษาในคนไข้ 50 ราย ที่ป่วยด้วยโรคความดันสูง พบว่าคลอโรฟิลล์ช่วยลดความดันได้ดี และอาการทั่วไปดีขึ้น
- มีรายงานการวิจัยอีกมากมายที่ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ในการรักษาโรคลำไส้อักเสบและอื่นๆ
จากการทำวิจัยขององค์การอาหารและยาสหรัฐ กับผู้ป่วยแผลเปิดจำนวน 3,600 ราย พบว่าคลอโรฟิลล์ช่วยกระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์ใหม่ให้เร็วขึ้น ทำให้แผลหายเร็วกว่าปกติ 25 %ขึ้นไป และรอยแผลเป็นลดลงกว่า 50 % หรือมากกว่า จากกรณีนี้จึงมีการวิจัยต่อเกี่ยวกับการรักษาอาการเจ็บป่วยภายในร่างกายอันเป็นสาเหตุของการเกิดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ขึ้น พบว่าผู้ป่วยทั้ง 1227 ราย กลิ่นภายในหายหมดหลังจากใช้คลอโรฟิลล์ผ่านไป 2 สัปดาห์ จึงให้การยอมรับว่าเป็นยาดับกลิ่นภายใน สามารถซื้อขายได้ตามร้านขายยาทั่วไป ตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคม 1990 ตามเอกสารทะเบียนยาที่ 21 CFR Part 357 Deodorant Drug Products for Internal Use for Over-the Counter Human Use : Final Monograph; Final Rule.
- ตลอดจนการใช้คลอโรฟิลล์ รักษาสุนัขที่ป่วยโรคผิวหนัง และกลิ่นตัวแรง นับเป็นจำนวนกว่าหมื่นตัว
· ในอดีตทางการแพทย์ได้ใช้คลอโรฟิลล์ชนิดที่ละลายในน้ำ (Water Soluble Chlorophyll ) รักษาผู้ป่วย แต่การใช้ไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก เพราะต้นทุนการผลิตยังมีราคาแพงมาก แต่ในปัจจุบันคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์มีราคาถูกลง และใช้กันทั่วไปในกลุ่มแพทย์ธรรมชาติบำบัด
1. คลอโรฟิลล์ ช่วยทำให้สดชื่น หายเหนื่อยจากการอ่อนเพลีย
2. คลอโรฟิลล์ ช่วยลดความดันโลหิต ลดปัญหาเส้นเลือดหัวใจตีบ หัวใจโต
3. คลอโรฟิลล์ ช่วยปรับระดับน้ำตาลสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน
4. คลอโรฟิลล์ ช่วยทำให้อาการของคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ แพ้อากาศ ผื่นลมพิษ ทุเลาลง
5. คลอโรฟิลล์ ช่วยขับกรดจากข้อต่อต่างๆ ทำให้อาการปวดข้อ ปวดเมื่อยตามตัวทุเลาลง และดีขึ้นตามลำดับ
6. คลอโรฟิลล์ ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย สารตกค้างของยาปฏิชีวนะ สารเคมีตกค้างในอาหาร ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานดี สุขภาพแข็งแรง สดชื่นขึ้น
7. คลอโรฟิลล์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพเม็ดเลือดแดงและเซลล์เม็ดเลือดแดงทำให้ระบบ เลือดไหลเวียนดีขึ้น
8. คลอโรฟิลล์ ช่วยป้องกันการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
9. คลอโรฟิลล์ ช่วยแก้ปัญหาท้องผูก การขับถ่ายจะดีขึ้น ริดสีดวงทวารทุเลาและหายได้
10. คลอโรฟิลล์ ช่วยดับกลิ่นตัว กลิ่นปาก กลิ่นเท้า กลิ่นภายใน
11. คลอโรฟิลล์ ช่วยบรรเทาอาการชา บวม และเส้นเลือดขอดให้ทุเลาและดีขึ้นได้
12. คลอโรฟิลล์ ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย
13. คลอโรฟิลล์ ใช้ทาแผลอักเสบ,แผลเปื่อย,แผลเรื้อรัง,แผลถลอก,แผลไฟไหม้, เหงือกอักเสบ,แผลในปากซึ่งจะเห็นผลได้ดีกว่าการใช้แอลกลอฮอลล์และยาแดง
14. คลอโรฟิลล์ ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะทั่วไป และปวดศีรษะไมแกรนได้
15. คลอโรฟิลล์ ช่วยเรื่องโรคกระเพาะและลำไส้อักเสบให้ทุเลาและดีขึ้นได้
16. คลอโรฟิลล์ ช่วยแก้ปัญหาเรื่องสิว,ฝ้า,ปวดประจำเดือน,ประจำเดือนมาไม่ปกติ
17. คลอโรฟิลล์ ช่วยให้ผู้ที่เป็นต้อกระจกมองเห็นดีขึ้น และต้อเนื้อทุเลาลงได้
18. คลอโรฟิลล์ ช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย ทำให้อวัยวะที่ทำหน้าที่กำจัดของเสีย ทำงานได้ดีขึ้น
คลอโรฟิลล์ที่ทางการแพทย์ยอมรับคือ คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ ต้องมี สารคลอโรฟิลล์อย่างน้อย
95 % นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการทดลองจนในที่สุดพบว่า มันคือ คลอโรฟิลล์ชนิดที่ละลายในน้ำ (Water Soluble Chlorophyll) ซึ่งคลอโรฟิลล์โดยตัวของมันเอง.... ไม่ละลายในน้ำ
ด้วยกระบวนการเทคนิคพิเศษอย่างน้อย 15 ขั้นตอนนี้ สามารถทำให้คลอโรฟิลล์ละลายในน้ำได้ ทางการแพทย์ได้ทำการวิจัยคลอโรฟิลล์ชนิดที่ละลายในน้ำกันอย่างกว้างขวางและมากมายเป็นที่ยอมรับในวงการแพทย์ (Medicinal Use) โดยเฉพาะกลุ่มนักวิจัยส่วนใหญ่ของมหาวิทยาลัยเทมเปิล ประเทศสหรัฐอเมริกา นำทีมโดย นายแพทย์ลอเรนซ์ สมิท ซึ่งเป็นศาสตราจารย์นายแพทย์สาขาพยาธิวิทยา ได้รวบรวมข้อมูลสำคัญของคลอโรฟิลล์ชนิดละลายในน้ำ ดังนี้ :
1.เป็นสารบริสุทธิ์ควรเลือกใช้ทางคลินิก (Water soluble derivatives are purified and much preferable in clinical use )
2. ผลของการใช้นุ่มนวลและไม่มีอาการระคายเคือง (Bland and non-irritating)
3. จากการทดลองในมนุษย์และสัตว์ในวิธีการแพทย์ รวมทั้งการฉีดเข้าใต้ผิวหนังและฉีดเข้าเส้นเลือดดำ ไม่ปรากฎอาการของพิษใดๆ (Total absence of toxic effects)
คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ทางการแพทย์ได้วิจัยสรุปผลดังนี้
- ดร. เรดพาธและคณะฯ รายงานผลที่น่าพอใจในการใช้คลอโรฟิลล์รักษาผู้ป่วยจากโรคทางเดินหายใจ 1,000 ราย
- มหาวิทยาลัยโลโยล่า ประเทศสหรัฐอเมริกา กลุ่มทันตแพทย์รักษาผู้ป่วยกว่า 1,700 ราย พบว่าคลอโรฟิลล์สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในช่องปากได้
- ดร. เคปฮาร์ รายงานผลการใช้คลอโรฟิลล์รักษาผู้ป่วยเป็นโรคโลหิตจาง พบว่าได้ผลดีในผู้ป่วยที่ไม่ขาดธาตุเหล็กและธาตุทองแดง
- ทันตแพทย์โกลด์เบิร์ก ใช้คลอโรฟิลล์รักษาผู้ปวย 300 ราย ที่เหงือกเป็นหนองเลือดออกตามไรฟันและฟันโยก ปรากฎว่าได้ผลดีมาก
- ในโรงพยาบาลทหาร ดร. โบเวอร์ส ใช้คลอโรฟิลล์ทาแผล ปรากฎว่ากลิ่นเหม็นเน่าของแผลลดลง และอาการอักเสบดีขึ้นจนกระทั่งหายไป
- ดร. มอร์แดน ใช้ขี้ผึ้งคลอโรฟิลล์รักษาแผลไฟไหม้ได้ผลดี
- ดร. ฟอลล็อค ได้เปรียบเทียบในการรักษาแผลกดทับ (Bedsore) ด้วยยาหลายชนิดพบว่าคลอโรฟิลล์ได้ผลดีที่สุด
- ดร. เบอร์กี้ รายงานว่าคลอโรฟิลล์ช่วยรักษาโรคโลหิตจางได้หลายชนิด ทำให้หัวใจทำงานมีประสิทธิภาพดีขึ้น ช่วยลดความดันสูง และกระตุ้นทางเดินอาหารให้ทำงานดีขึ้น
- ดร. แครนซ์ วิจัยพบว่าคลอโรฟิลล์บรรเทาอาการของโรคกระเพาะอาหารอักเสบได้ดี และจากรายงานของ ดร. ซามูแอล ในคนไข้ที่เลือดออกในกระเพาะอาหาร 36 ราย ปรากฎว่าทุกรายมีอาการดีขึ้นและหายภายใน 12-22 วัน
- ค.ศ. 1980 มีรายงานในผู้ป่วยด้วยโรคตับอักเสบเรื้อรังจำนวน 34 ราย โดยการฉีดคลอโรฟิลล์เข้าเส้นเลือดปรากฎว่าได้ผลดี 23 ราย
- ดร. โยชิดาและคณะ ฯ พบว่าคลอโรฟิลล์บรรเทาอาการของโรคตับอ่อนอักเสบ และมีรายงานวิจัยอีกหลายคณะในประเทศญี่ปุ่น ในการใช้คลอโรฟิลล์รักษาโรคตับอ่อนอักเสบ
- ดร. เบอร์กี้ พิมพ์หนังสือชื่อ “Chlorophyll as pharmaceutical” กล่าวถึง การใช้คลอโรฟิลล์ได้ผลดีในผู้ป่วย 112 ราย ที่ป่วยด้วยโรคความดันสูง และหลอดเลือดแข็งตัว
- ดร. แอนเจโล ศึกษาในคนไข้ 50 ราย ที่ป่วยด้วยโรคความดันสูง พบว่าคลอโรฟิลล์ช่วยลดความดันได้ดี และอาการทั่วไปดีขึ้น
- มีรายงานการวิจัยอีกมากมายที่ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ในการรักษาโรคลำไส้อักเสบและอื่นๆ
จากการทำวิจัยขององค์การอาหารและยาสหรัฐ กับผู้ป่วยแผลเปิดจำนวน 3,600 ราย พบว่าคลอโรฟิลล์ช่วยกระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์ใหม่ให้เร็วขึ้น ทำให้แผลหายเร็วกว่าปกติ 25 %ขึ้นไป และรอยแผลเป็นลดลงกว่า 50 % หรือมากกว่า จากกรณีนี้จึงมีการวิจัยต่อเกี่ยวกับการรักษาอาการเจ็บป่วยภายในร่างกายอันเป็นสาเหตุของการเกิดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ขึ้น พบว่าผู้ป่วยทั้ง 1227 ราย กลิ่นภายในหายหมดหลังจากใช้คลอโรฟิลล์ผ่านไป 2 สัปดาห์ จึงให้การยอมรับว่าเป็นยาดับกลิ่นภายใน สามารถซื้อขายได้ตามร้านขายยาทั่วไป ตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคม 1990 ตามเอกสารทะเบียนยาที่ 21 CFR Part 357 Deodorant Drug Products for Internal Use for Over-the Counter Human Use : Final Monograph; Final Rule.
- ตลอดจนการใช้คลอโรฟิลล์ รักษาสุนัขที่ป่วยโรคผิวหนัง และกลิ่นตัวแรง นับเป็นจำนวนกว่าหมื่นตัว
· ในอดีตทางการแพทย์ได้ใช้คลอโรฟิลล์ชนิดที่ละลายในน้ำ (Water Soluble Chlorophyll ) รักษาผู้ป่วย แต่การใช้ไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก เพราะต้นทุนการผลิตยังมีราคาแพงมาก แต่ในปัจจุบันคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์มีราคาถูกลง และใช้กันทั่วไปในกลุ่มแพทย์ธรรมชาติบำบัด
1. คลอโรฟิลล์ ช่วยทำให้สดชื่น หายเหนื่อยจากการอ่อนเพลีย
2. คลอโรฟิลล์ ช่วยลดความดันโลหิต ลดปัญหาเส้นเลือดหัวใจตีบ หัวใจโต
3. คลอโรฟิลล์ ช่วยปรับระดับน้ำตาลสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน
4. คลอโรฟิลล์ ช่วยทำให้อาการของคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ แพ้อากาศ ผื่นลมพิษ ทุเลาลง
5. คลอโรฟิลล์ ช่วยขับกรดจากข้อต่อต่างๆ ทำให้อาการปวดข้อ ปวดเมื่อยตามตัวทุเลาลง และดีขึ้นตามลำดับ
6. คลอโรฟิลล์ ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย สารตกค้างของยาปฏิชีวนะ สารเคมีตกค้างในอาหาร ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานดี สุขภาพแข็งแรง สดชื่นขึ้น
7. คลอโรฟิลล์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพเม็ดเลือดแดงและเซลล์เม็ดเลือดแดงทำให้ระบบ เลือดไหลเวียนดีขึ้น
8. คลอโรฟิลล์ ช่วยป้องกันการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
9. คลอโรฟิลล์ ช่วยแก้ปัญหาท้องผูก การขับถ่ายจะดีขึ้น ริดสีดวงทวารทุเลาและหายได้
10. คลอโรฟิลล์ ช่วยดับกลิ่นตัว กลิ่นปาก กลิ่นเท้า กลิ่นภายใน
11. คลอโรฟิลล์ ช่วยบรรเทาอาการชา บวม และเส้นเลือดขอดให้ทุเลาและดีขึ้นได้
12. คลอโรฟิลล์ ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย
13. คลอโรฟิลล์ ใช้ทาแผลอักเสบ,แผลเปื่อย,แผลเรื้อรัง,แผลถลอก,แผลไฟไหม้, เหงือกอักเสบ,แผลในปากซึ่งจะเห็นผลได้ดีกว่าการใช้แอลกลอฮอลล์และยาแดง
14. คลอโรฟิลล์ ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะทั่วไป และปวดศีรษะไมแกรนได้
15. คลอโรฟิลล์ ช่วยเรื่องโรคกระเพาะและลำไส้อักเสบให้ทุเลาและดีขึ้นได้
16. คลอโรฟิลล์ ช่วยแก้ปัญหาเรื่องสิว,ฝ้า,ปวดประจำเดือน,ประจำเดือนมาไม่ปกติ
17. คลอโรฟิลล์ ช่วยให้ผู้ที่เป็นต้อกระจกมองเห็นดีขึ้น และต้อเนื้อทุเลาลงได้
18. คลอโรฟิลล์ ช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย ทำให้อวัยวะที่ทำหน้าที่กำจัดของเสีย ทำงานได้ดีขึ้น
วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2558
ต้านอนุมูลอิสระ ด้วย มิสติก้า (Mistica)
มิสติก้า (Mistica)
อนุมูลอิสระ (Free Radical) เรื่องสำคัญของความสวย
อนุมูลอิสระ หรือ Free Radical เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดความเสื่อมของร่างกายและริ้วรอยก่อนวัย สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาทั้งจากการหายใจ จากกระบวนการเผาผลาญอาหาร ความเครียด การออกกำลังกายที่หักโหมเกินไป หรือจากสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ เช่น ควันบุหรี่ ยา รังสียูวีในแสงแดด และมลพิษต่าง ๆ
เมื่ออนุมูลอิสระเกิดการรวมตัวกับโมเลกุลอื่น จะก่อให้เกิดปฏิกิริยารุนแรง ทำให้เกิดความเสียหายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นรอยฝ้า กระ จุดด่างดำ และริ้วรอยต่างๆ ล้วนเกิดจากอนุมูลอิสระเป็นตัวการทำลายสำคัญ หากจะเปรียบเทียบให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เราลองหั่นแอปเปิ้ลเป็นชิ้นแล้ววางทิ้งไว้ เนื้อแอปเปิ้ลที่น่ากินจะกลายเป็นสีน้ำตาล ซึ่งเป็นผลจากการทำลายของอนุมูลอิสระนั่นเอง
สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants)… ช่วยคุณได้
โชคดีที่ธรรมชาติไม่ใจร้ายจนเกินไป และได้มอบผู้ช่วยที่สามารถรับมือกับอนุมูลอิสระได้ นั่นคือ สารต้านอนุมูลอิสระ หรือ Antioxidants ซึ่งจะทำหน้าที่คอยดักจับอนุมูลอิสระ เพื่อหยุดปฏิกิริยาทำร้ายเซลล์ ช่วยชะลอและป้องกันการเสื่อมของเซลล์ ซึ่งปกติร่างกายของคนเรามีกลไกการทำลายอนุมูลอิสระได้เอง โดยอาศัยการผลิตเอนไซม์บางชนิด เช่น Glutathione reductase ออมมาป้องกัน แต่หากมีอนุมูลอิสระมากเกินไป ร่างกายก็จำเป็นต้องได้รับสารต้านอนุมูลอิสระจากอาหารเช่น วิตามินซี วิตามินอี เบต้าแคโรทีน และแร่ธาตุ เช่น ซีลีเนียม สังกะสี รวมถึงสารสกัดจากพืชต่างๆ
- วิตามินอี จะช่วยต้านอนุมูลอิสระในร่างกายส่วนที่เป็นไขมันและยับยั้ง การสร้างสารไนโตรซามีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง
- วิตามินซี ช่วยต้านอนุมูลอิสระในร่างกายส่วนที่เป็นน้ำ มีมากในผักผลไม้ต่าง ๆ
นอกจากนี้ยังพบสารต้านอนุมูลอิสระปริมาณสูงในกาแฟ ชาเขียว ชาขาว ซึ่งเป็นสารประเภทฟลาโวนอยด์ ที่มีสำคัญในการช่วยปกป้องผิวพรรณจากอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวสาวคงความอ่อนเยาว์ และอวดผิวสวยได้อีกนาน
คำความสามารถในการต่อต้านอนุมูลอิสระ
“ORAC” Oxygen Radical Capacity
เป็นค่าที่ใช้วัดความสามารถในการต้านปฏิกิริยาออกซิเดชั่นที่เกิดขึ้นจากอนุมูลอิสระในผลไม้แต่ละชนิด โดยใช้หน่วยวัดเป็น ORAC ซึ่งสามารถทำได้โดยใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่า HPLC (Hight Performance Liquil Chromatography) และจากการวิเคราะห์ที่เรียกว่า “สมรรถภาพการดูดซับอนุมูลอิสระของออกซิเจน (ORAC)” หากค่า ORAC ยิ่งสูงแสดงว่าผัก และผลไม้ดังกล่าวมีประสิทธิภาพในการยับยั้งสารต้านอนุมูลอิสระได้สูงตามไปด้วย แต่จะต้องรับประทานอาหารมากเท่าไรจึงจะได้รับค่า ORAC อย่างเพียงพอ เป็นเรื่องที่ยากจะตอบ เพราะโดยปกติเราทานผักและผลไม้จะมีค่าเฉลี่ยของประสิทธิภาพสารต้านอนุมูลอิสระ (ORAC) อยู่ที่ 1,200 – 1,640 หน่วย ORAC ต่อวัน แต่นักวิจัยวิเคราะห์ว่า การรับประทานสารต้านอนุมูลอิสระจากผัก ผลไม้ประมาณ 3,000 – 5,000 หน่วย ORAC ต่อวัน จะช่วยให้สุขภาพดีขึ้น และลดอัตราการเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังได้มากกว่า
มิสติก้า (Mistica) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างเป็นปกติ การรับประทาน เป็นประจำทุกวันจะช่วยในการเสริมสร้างพลังงานให้กับร่างกายและในขณะเดียวกันก็ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระให้กับร่างกาย
คุณประโยชน์ของมิสติก้า (Mistica)
1. เป็นสารต้านอะนุมูลอิสระ มีค่า ORAC มากที่สุดชนิดหนึ่ง ช่วยให้การทำงานของเซลล์เป็นปกติ ป้องกันเซลล์จากการถูกทำลายของอนุมูลอิสระลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็ง
2. สารแอนโทไซยานิน ช่วยให้ระบบหลอดเลือดและหัวใจทำงานเป็นปกติ
3. Phytosterols สร้างสมดุลให้กับร่างกาย ช่วยรักษาระดับคลอเรสเตอรอลให้เป็นปกติ
4. Amino Acids ช่วยเสริมสร้างการสร้างโปรตีนซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
5. เสริมสร้างระบบภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ส่งเสริมระบบประสาทให้กับร่างกาย
6. ส่งเสริมการมองเห็น ปกป้องดวงตาให้แข็งแรง ยับยั้งการเกิดต้อกระจก
มิสติก้า (Mistica) Miracle from the Amazon หลายสิบปีมาแล้ว ชนชาวพื้นเมืองอะเมซอน ได้รับการเลื่องลือในเรื่องการดื่มน้ำผลไม้ เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับร่างกายก่อนออกไปรบ และยังช่วยมีผลไม้ชนิดหนึ่งชื่อว่า " Tree of the life " เพราะอุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติ มีกรดอะมิโน สารแอนโทไซยานิน และกรดไขมันจำเป็นครบถ้วน กระทั่งในยุคปัจจุบีน เรามักจะยินเรื่องผลร้ายจากอนุมูลอิสระที่จะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ทั่งจากการรับประทานอาหาร หรือแม้แต่การหายใจ ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการนำผลไม้ Acai อันสุดแสนจะมากด้วยคุณประโยชน์ มาผ่านกระบวนการวิจัย ตลอดจนผสมสานเพื่อให้เกิดสรรพคุณในการช่วยต้านอนุมูลอิสระ
มิสติก้า (Mistica) เป็นผลิตภัณฑ์ที่นำเอาความมหัศจรรย์ในผลไม้พิเศษ Acai มาผสมผสานให้เกิดความลงตัว เพราะเราทราบดีว่า Acai มีสารต้านอนุมูลอิสระ ประกอบไปด้วยกรดอะมิโน กรอไขมันจำเป็นต่อร่างกายและ Plant Sterol ซึ่งสารทั้งหมดนี้มีส่วนช่วยรักษาระดับคลอเรสเตอรอลให้เป็นปกติ ช่วยระบบไหลเวียนเลือดและหัวใจ เพิ่มคุมคุ้มกันและเสริมสร้างความแข็งแรงให้ร่างกาย
มิสติก้า (Mistica) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ให้คุณค่าสารอาหารที่ครบถ้วนมีรสชาติอร่อย ดื่มง่ายสามารถรับประทานได้เป็นประจำทุกวัน จะช่วยเสริมสร้างพลังงานให้กับร่างกาย เป็นเครื่องดื่มที่เหมาะสำหรับคนที่รักสุขภาพเป็นอย่างยิ่ง ส่วนประกอบที่สำคัญ Acai อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และสารแอนโทไซยานิน เป็นสารตามธรรมชาติที่ประกอบไปด้วย กรดไขมันจำเป็นต่อร่างกาย และมีกรดอะมิโน ช่วยลดคลอเรสเตอรอล
ส่วนประกอบที่สำคัญ
- Acai อุดมไปด้วยการแอนตี้ออกซิแด้นท์ และสารโทโซยานิน เป็นสารตามธรรมชาติที่ประกอบได้ด้วย กรดไขมันจำเป็นต่อร่างกาย และมีกรดอะมิโน ช่วยลดคลอเรสเตอร
- Pomegranate เป็นสารที่มีคุณสมบัติในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดคลอเรสเตอรอล ซึ่งมีคุณค่าสูงกว่าชาเขียว และ Red wine ถึง 3 เท่า
- Cramberry อุดมไปด้วยสารประกอบที่มีคุณประโยชน์หลายชนิด โดยเฉพาะสารโปรแอนโทไซยานิน เป็นสารที่ช่วยให้ระบบปัสสาวะเป็นปกติ
- Elderberry เป็นตัวกระตุ้นในการสร้าง Cytokines ซึ่งเป็นโปรตีนที่มีผลโดยตรงกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
- Blueberry สถาบัน USDA (Human Nutrition Center) ได้จัดอันดับให้ blueberries เป็นสารที่มี สารแอนตี้ออกซิแด้นท์ เป็นอันดับ 1 ใน 40 ของพึช ผัก ผลไม้
- Bilberry เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ ประกอบด้วยสารแอนโทไซยานิน ซึ่งช่วยในเรื่องระบบหลอดเลือดและหัวใจ ป้องกันการทำลายเซลล์จากอนุมูลอิสระ
- Red Rasberry นักวิจัยได้ค้นพบว่า สารแอนโทไซยานินใน Red Rasberry นั้นเป็นสารที่ช่วยระบบไหลเวียน ภายในร่าง และช่วยในการต่อต้านความชรา
- Lycium หรืออาจจะเรียกวา Wolberry ซึ่งในประเทศจีนใช้ในการเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ช่วนในกระบวนการทำงานของตับ และยังช่วยบำรุงสายตา
- Red Grape ประกอบด้วยสารแอนตี้ออกซิแด้นท์ คือ สารแอนโทไซยานิน
- Concord Grape เป็นองุ่นม่วงที่ช่วยในเรื่องการป้องกันโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือสั่งซื้อสินค้า
ติดต่อ 092-645-4256 โค้ชเกมส์
อนุมูลอิสระ (Free Radical) เรื่องสำคัญของความสวย
อนุมูลอิสระ หรือ Free Radical เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดความเสื่อมของร่างกายและริ้วรอยก่อนวัย สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาทั้งจากการหายใจ จากกระบวนการเผาผลาญอาหาร ความเครียด การออกกำลังกายที่หักโหมเกินไป หรือจากสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ เช่น ควันบุหรี่ ยา รังสียูวีในแสงแดด และมลพิษต่าง ๆ
เมื่ออนุมูลอิสระเกิดการรวมตัวกับโมเลกุลอื่น จะก่อให้เกิดปฏิกิริยารุนแรง ทำให้เกิดความเสียหายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นรอยฝ้า กระ จุดด่างดำ และริ้วรอยต่างๆ ล้วนเกิดจากอนุมูลอิสระเป็นตัวการทำลายสำคัญ หากจะเปรียบเทียบให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เราลองหั่นแอปเปิ้ลเป็นชิ้นแล้ววางทิ้งไว้ เนื้อแอปเปิ้ลที่น่ากินจะกลายเป็นสีน้ำตาล ซึ่งเป็นผลจากการทำลายของอนุมูลอิสระนั่นเอง
สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants)… ช่วยคุณได้
โชคดีที่ธรรมชาติไม่ใจร้ายจนเกินไป และได้มอบผู้ช่วยที่สามารถรับมือกับอนุมูลอิสระได้ นั่นคือ สารต้านอนุมูลอิสระ หรือ Antioxidants ซึ่งจะทำหน้าที่คอยดักจับอนุมูลอิสระ เพื่อหยุดปฏิกิริยาทำร้ายเซลล์ ช่วยชะลอและป้องกันการเสื่อมของเซลล์ ซึ่งปกติร่างกายของคนเรามีกลไกการทำลายอนุมูลอิสระได้เอง โดยอาศัยการผลิตเอนไซม์บางชนิด เช่น Glutathione reductase ออมมาป้องกัน แต่หากมีอนุมูลอิสระมากเกินไป ร่างกายก็จำเป็นต้องได้รับสารต้านอนุมูลอิสระจากอาหารเช่น วิตามินซี วิตามินอี เบต้าแคโรทีน และแร่ธาตุ เช่น ซีลีเนียม สังกะสี รวมถึงสารสกัดจากพืชต่างๆ
- วิตามินอี จะช่วยต้านอนุมูลอิสระในร่างกายส่วนที่เป็นไขมันและยับยั้ง การสร้างสารไนโตรซามีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง
- วิตามินซี ช่วยต้านอนุมูลอิสระในร่างกายส่วนที่เป็นน้ำ มีมากในผักผลไม้ต่าง ๆ
นอกจากนี้ยังพบสารต้านอนุมูลอิสระปริมาณสูงในกาแฟ ชาเขียว ชาขาว ซึ่งเป็นสารประเภทฟลาโวนอยด์ ที่มีสำคัญในการช่วยปกป้องผิวพรรณจากอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวสาวคงความอ่อนเยาว์ และอวดผิวสวยได้อีกนาน
คำความสามารถในการต่อต้านอนุมูลอิสระ
“ORAC” Oxygen Radical Capacity
เป็นค่าที่ใช้วัดความสามารถในการต้านปฏิกิริยาออกซิเดชั่นที่เกิดขึ้นจากอนุมูลอิสระในผลไม้แต่ละชนิด โดยใช้หน่วยวัดเป็น ORAC ซึ่งสามารถทำได้โดยใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่า HPLC (Hight Performance Liquil Chromatography) และจากการวิเคราะห์ที่เรียกว่า “สมรรถภาพการดูดซับอนุมูลอิสระของออกซิเจน (ORAC)” หากค่า ORAC ยิ่งสูงแสดงว่าผัก และผลไม้ดังกล่าวมีประสิทธิภาพในการยับยั้งสารต้านอนุมูลอิสระได้สูงตามไปด้วย แต่จะต้องรับประทานอาหารมากเท่าไรจึงจะได้รับค่า ORAC อย่างเพียงพอ เป็นเรื่องที่ยากจะตอบ เพราะโดยปกติเราทานผักและผลไม้จะมีค่าเฉลี่ยของประสิทธิภาพสารต้านอนุมูลอิสระ (ORAC) อยู่ที่ 1,200 – 1,640 หน่วย ORAC ต่อวัน แต่นักวิจัยวิเคราะห์ว่า การรับประทานสารต้านอนุมูลอิสระจากผัก ผลไม้ประมาณ 3,000 – 5,000 หน่วย ORAC ต่อวัน จะช่วยให้สุขภาพดีขึ้น และลดอัตราการเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังได้มากกว่า
มิสติก้า (Mistica) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างเป็นปกติ การรับประทาน เป็นประจำทุกวันจะช่วยในการเสริมสร้างพลังงานให้กับร่างกายและในขณะเดียวกันก็ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระให้กับร่างกาย
คุณประโยชน์ของมิสติก้า (Mistica)
1. เป็นสารต้านอะนุมูลอิสระ มีค่า ORAC มากที่สุดชนิดหนึ่ง ช่วยให้การทำงานของเซลล์เป็นปกติ ป้องกันเซลล์จากการถูกทำลายของอนุมูลอิสระลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็ง
2. สารแอนโทไซยานิน ช่วยให้ระบบหลอดเลือดและหัวใจทำงานเป็นปกติ
3. Phytosterols สร้างสมดุลให้กับร่างกาย ช่วยรักษาระดับคลอเรสเตอรอลให้เป็นปกติ
4. Amino Acids ช่วยเสริมสร้างการสร้างโปรตีนซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
5. เสริมสร้างระบบภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ส่งเสริมระบบประสาทให้กับร่างกาย
6. ส่งเสริมการมองเห็น ปกป้องดวงตาให้แข็งแรง ยับยั้งการเกิดต้อกระจก
มิสติก้า (Mistica) Miracle from the Amazon หลายสิบปีมาแล้ว ชนชาวพื้นเมืองอะเมซอน ได้รับการเลื่องลือในเรื่องการดื่มน้ำผลไม้ เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับร่างกายก่อนออกไปรบ และยังช่วยมีผลไม้ชนิดหนึ่งชื่อว่า " Tree of the life " เพราะอุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติ มีกรดอะมิโน สารแอนโทไซยานิน และกรดไขมันจำเป็นครบถ้วน กระทั่งในยุคปัจจุบีน เรามักจะยินเรื่องผลร้ายจากอนุมูลอิสระที่จะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ทั่งจากการรับประทานอาหาร หรือแม้แต่การหายใจ ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการนำผลไม้ Acai อันสุดแสนจะมากด้วยคุณประโยชน์ มาผ่านกระบวนการวิจัย ตลอดจนผสมสานเพื่อให้เกิดสรรพคุณในการช่วยต้านอนุมูลอิสระ
มิสติก้า (Mistica) เป็นผลิตภัณฑ์ที่นำเอาความมหัศจรรย์ในผลไม้พิเศษ Acai มาผสมผสานให้เกิดความลงตัว เพราะเราทราบดีว่า Acai มีสารต้านอนุมูลอิสระ ประกอบไปด้วยกรดอะมิโน กรอไขมันจำเป็นต่อร่างกายและ Plant Sterol ซึ่งสารทั้งหมดนี้มีส่วนช่วยรักษาระดับคลอเรสเตอรอลให้เป็นปกติ ช่วยระบบไหลเวียนเลือดและหัวใจ เพิ่มคุมคุ้มกันและเสริมสร้างความแข็งแรงให้ร่างกาย
มิสติก้า (Mistica) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ให้คุณค่าสารอาหารที่ครบถ้วนมีรสชาติอร่อย ดื่มง่ายสามารถรับประทานได้เป็นประจำทุกวัน จะช่วยเสริมสร้างพลังงานให้กับร่างกาย เป็นเครื่องดื่มที่เหมาะสำหรับคนที่รักสุขภาพเป็นอย่างยิ่ง ส่วนประกอบที่สำคัญ Acai อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และสารแอนโทไซยานิน เป็นสารตามธรรมชาติที่ประกอบไปด้วย กรดไขมันจำเป็นต่อร่างกาย และมีกรดอะมิโน ช่วยลดคลอเรสเตอรอล
ส่วนประกอบที่สำคัญ
- Acai อุดมไปด้วยการแอนตี้ออกซิแด้นท์ และสารโทโซยานิน เป็นสารตามธรรมชาติที่ประกอบได้ด้วย กรดไขมันจำเป็นต่อร่างกาย และมีกรดอะมิโน ช่วยลดคลอเรสเตอร
- Pomegranate เป็นสารที่มีคุณสมบัติในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดคลอเรสเตอรอล ซึ่งมีคุณค่าสูงกว่าชาเขียว และ Red wine ถึง 3 เท่า
- Cramberry อุดมไปด้วยสารประกอบที่มีคุณประโยชน์หลายชนิด โดยเฉพาะสารโปรแอนโทไซยานิน เป็นสารที่ช่วยให้ระบบปัสสาวะเป็นปกติ
- Elderberry เป็นตัวกระตุ้นในการสร้าง Cytokines ซึ่งเป็นโปรตีนที่มีผลโดยตรงกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
- Blueberry สถาบัน USDA (Human Nutrition Center) ได้จัดอันดับให้ blueberries เป็นสารที่มี สารแอนตี้ออกซิแด้นท์ เป็นอันดับ 1 ใน 40 ของพึช ผัก ผลไม้
- Bilberry เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ ประกอบด้วยสารแอนโทไซยานิน ซึ่งช่วยในเรื่องระบบหลอดเลือดและหัวใจ ป้องกันการทำลายเซลล์จากอนุมูลอิสระ
- Red Rasberry นักวิจัยได้ค้นพบว่า สารแอนโทไซยานินใน Red Rasberry นั้นเป็นสารที่ช่วยระบบไหลเวียน ภายในร่าง และช่วยในการต่อต้านความชรา
- Lycium หรืออาจจะเรียกวา Wolberry ซึ่งในประเทศจีนใช้ในการเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ช่วนในกระบวนการทำงานของตับ และยังช่วยบำรุงสายตา
- Red Grape ประกอบด้วยสารแอนตี้ออกซิแด้นท์ คือ สารแอนโทไซยานิน
- Concord Grape เป็นองุ่นม่วงที่ช่วยในเรื่องการป้องกันโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือสั่งซื้อสินค้า
ติดต่อ 092-645-4256 โค้ชเกมส์
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2558
อนุมูลอิสระคืออะไร
อนุมูลอิสระคืออะไร
อนุมูลอิสระ (Free Radicals) หมายถึงสารหรือโมเลกุล ซึ่งมีอิเล็กตรอนที่ขาดคู่อยู่ในวงรอบของอะตอม นั่นก็คือเป็นโมเลกุลที่ไม่เสถียรเนื่องจากขาดอิเล็กตรอน จึงจำเป็นต้องใฝ่หาอิเล็กตรอนเพื่อมาทำให้เกิดความเสถียร ดังนั้นจึงไปแย่งอิเล็กตรอนจากสารอื่นเพื่อมาทดแทน สารอื่นที่ถูกแย่งอิเล็กตรอนมาก็กลายเป็นสารที่สร้างปัญหา เนื่องจากจะต้องไปแย่งเอาอิเล็กตรอนมาทดแทนเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ขึ้นต่อเนื่อง อนุมูลอิสระจะมีอายุสั้นมาก จึงจัดเป็นโมเลกุลที่ไม่เสถียรและว่องไวต่อการเกิดปฏิกิริยาเคมี โมเลกุลดังกล่าวนี่แหละเป็นตัวก่อเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ในร่างกาย ซึ่งการเผาผลาญอาหารประเภทเนื้อสัตว์จะมีของเสียที่เรียกว่าอนุมูลอิสระเป็นจำนวนมาก
โดยปกติแล้วมักจะกล่าวถึงเฉพาะอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันในร่างกาย แต่ในความเป็นจริงจะมีตัวกระตุ้นที่สำคัญเรียกว่า Reactive Oxygen Species (ROS) ซึ่งจะหมายถึงโมเลกุลที่ว่องไวต่อการทำปฏิกิริยาซึ่งอาจเป็นอนุมูลอิสระหรือไม่ใช่อนุมูลอิสระ (Nonradicals) ก็ได้ ตัวอย่างของอนุมูลอิสระและ ROS เช่น อนุมูลซูเพอร์ออกไซด์ (Superoxide Anion Radical) อนุมูลไฮดรอกซิล (Hydroxyl Radical) อนุมูลเพอร์ออกไซด์ (Peroxide Radical) อนุมูลเพอร์ออกซิล (Peroxyl Radical) ไฮโดรเจนเพอร์ ออกไซด์ (Hydrogen Peroxide) โอโซน(Ozone) ออกซิเจนอะตอมเดี่ยว(Singlet Oxygen) อนุมูลไฮโดรเจน (Hydrogen Radical) และอนุมูลเมทิล (Methyl Radical) เป็นต้น
อนุมูลอิสระเหล่านี้มาจากไหน
ปัญหาที่สงสัยก็คืออนุมูลอิสระเหล่านี้มาจากที่ใด และเกิดขึ้นได้อย่างไร อาจแบ่งอนุมูลอิสระในร่างกายของมนุษย์ออกเป็น 2 แบบง่ายๆ คือ
1. อนุมูลอิสระที่เกิดในร่างกายของเราเอง เป็นผลจากในร่างกายของเรามีกระบวนการเผาผลาญอาหาร หรือที่เรียกเป็นทางการว่า กระบวนการเมแทบอลิซึม (Metabolism) เกิดขึ้นตลอดเวลา ซึ่งเป็นผลจากปฏิกิริยาเคมีและกิจกรรมของเซลล์ในร่างกาย ที่ต้องดำเนินการตามปกติ ตัวอย่างเช่นในกระบวนการหายใจจะเกิดออกซิเจนที่มีประจุลบ ซึ่งก็คืออนุมูลอิสระ สารตัวนี้สามารถรวมตัวกับไขมัน LDL (Low Density Lipoproteins) ได้ดี และยังสามารถรวมตัวกับสารบางชนิดในร่างกายก่อให้เกิดสารพิษที่ทำลายเนื้อเยื่อ หรืออาจไปเปลี่ยนแปลงข้อมูลทางพันธุกรรมใน ดีเอ็นเอ ทำให้เซลล์ปกติเปลี่ยนสภาพไปเป็นเซลล์มะเร็งเป็นต้น
2. อนุมูลอิสระที่มาจากนอกร่างกาย ซึ่งเกิดได้หลายปัจจัยด้วยกันคือ จากการได้รับเชื้อโรค เช่นการติดเชื้อไวรัสหรือเชื้อแบคทีเรีย โรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน (Autoimmune Diseases) เช่น ข้ออักเสบ รูมาตอยด์ จากรังสี เช่นรังสีอัลตราไวโอเลต รังสีเอ็กซ์ รังสีแกมมา จากมลภาวะเช่นควันบุหรี่ แก๊สจากท่อไอเสียรถยนต์เช่น ไนตรัสออกไซด์ ไนโตรเจนไดออกไซด์ เขม่าจากเครื่องยนต์ ฝุ่น จากกระบวนการประกอบอาหารเช่น การย่างเนื้อสัตว์ ที่มีส่วนประกอบของไขมันสูง การนำน้ำมันที่ใช้ทอดอาหารที่มีอุณหภูมิสูงๆกลับมาใช้อีก ทำให้เกิดอาหารประเภทเกรียม ไหม้ หรือเกิดจากการปิ้ง ย่าง จากยาบางชนิดเช่น โดโซรูบิซิน (Doxorubicin) เพนนิซิลามิน (Penicillamine) พาราเซทามอล (Paracetamol) เป็นต้น
ร่างกายได้รับอนุมูลอิสระมากไปจะมีผลกระทบอย่างไร
อนุมูลอิสระที่มีมากเกินไป จะเป็นอันตรายต่อไขมันโดยเฉพาะ LDL โปรตีน หน่วยสารพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอ และคาร์โบไฮเดรต ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลายชนิดเช่น โรคหลอดเลือดตีบและแข็งตัว (Atherosclerosis) เกิดการกลาย (Mutation) ของเซลล์ทำให้เกิดมะเร็งบางชนิด โรคอัลไซเมอร์หรือโรคความจำเสื่อม ทำให้เกิดกระบวนการอักเสบ ทำให้เกิดการทำลายเนื้อเยื่อรุนแรงขึ้น โรคไขข้ออักเสบและความเสื่อมของร่างกายดังนี้เป็นต้น
ปัจจุบันนักชีววิทยาเชื่อกันว่าความแก่เกิดจากการที่เนื้อเยื่อในร่างกายค่อยๆสะสมสารที่เป็นพิษต่อร่างกายอย่างช้าๆ ซึ่งมีผลทำให้ทำลายสมดุลของร่างกายที่ควบคุมการดำรงชีวิต และส่วนที่ได้รับผลกระทบมากคือดีเอ็นเอ การเปลี่ยนแปลงใน ดีเอ็นเอมีผลต่อการสร้างข้อมูลทางพันธุกรรมผิดพลาดไป ส่งผลให้เซลล์เสื่อมสภาพลงอะตอมจะเสถียรเมื่อมีอิเล็กตรอนเต็มวงโคจร ถ้าอิเล็กตรอนไม่ครบจะเกิดอนุมูลอิสระ อนุมูลอิสระมักจะเกิดขึ้นเมื่อพันธะโคเวเลนต์แตกออกเป็น 2 ส่วนและแต่ละส่วนจะมีอิเล็กตรอนแยกไปส่วนละ 1 ตัว อนุมูลอิสระจะว่องไวมากและทำให้เกิดความเสื่อมสภาพของเซลล์ในร่างกาย
จากที่กล่าวมาจะเห็นว่าอนุมูลอิสระถูกสร้างขึ้นมาจากกระบวนการเมแทบอลิซึมของร่างกายเองและในสภาวะที่ผิดปกติ เช่น ภาวะของโรค หรือภาวะที่ร่างกายได้รับมลภาวะแวดล้อม ภาวะที่ผิดปกติจะส่งผลให้ร่างกายสะสมอนุมูลอิสระเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นร่างกายจึงจำเป็นต้องมีระบบป้องกันไม่ให้อนุมูลอิสระทำลายได้ สิ่งที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องตนเองนี้แหละเราเรียกว่าสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants)
สารต้านอนุมูลอิสระคืออะไร
สารต้านอนุมูลอิสระเป็นสารพวกเอนไซม์ หรือสารอื่นที่สามารถชะลอหรือป้องกันปฏิกิริยาออกซิเดชันของสารเริ่มต้นหรือซับสเตรต (Substrate) สารเริ่มต้นหรือซับสเตรตนี้ก็คือ สารที่สามารถทำปฏิกิริยาในเซลล์ ซึ่งรวมถึงสารเกือบทุกชนิดในร่างกายเช่น โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต ดีเอ็นเอ แต่ถ้าในบางสภาวะที่มีปริมาณอนุมูลอิสระมากจนระบบสารต้านอนุมูลอิสระทำงานไม่ทันจะเกิดสภาวะที่เกิดปฎิกิริยาออกซิเดชันสูงมาก (Oxidative Stress) จะส่งผลกระทบต่อเซลล์เช่น ทำให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันของดีเอ็นเอ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และเกิดการทำลายโมเลกุลที่มีพันธะซัลไฮดริลฟ์ (S-H) และเยื่อหุ้มเซลล์ ก่อเกิดผลเสียต่อเซลล์และการทำลายเซลล์ทำให้เกิดความแก่ และรุนแรงไปถึงการเกิดเป็นโรคเช่น เส้นเลือดตีบ โรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน และโรคมะเร็ง
การทำลายโมเลกุลที่เป็นต้นเหตุของการเกิดอนุมูลอิสระเป็นกลไกของระบบต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการทำงานของระบบเอนไซม์หรือไม่ใช่ระบบเอนไซม์ก็ได้ โดยปกติสารต้านอนุมูลอิสระจะมีอยู่ 2 ลักษณะคือ สารที่พบในร่างกายและสารที่พบในอาหาร
1. สารต้านอนุมูลอิสระที่พบในร่างกาย แบ่งออกเป็น 2 แบบคือ
- สารที่เป็นเอนไซม์ เช่น ซูเพอร์ออกไซด์ดิสมิวเทส (Superoxide Dismutase: SOD) คะทะเลส (Catalase: CAT) กลูทาไทออนเพอร์ออกซิเดส (Glutathione Peroxidase: GPX) กลูทาไทออนรีดักเทส (Glutathione Reductase: GR) กลูทาไทออนทรานส์เฟอเรส(Glutathione S- Transferase: GST)
- สารต้านอนุมูลอิสระที่ไม่จัดเป็นเอนไซม์ เช่น กลูทาไทออน (Glutathione) กรดลิโพอิก (Lipoic acid) เซอรูโลพลาสมิน (Ceruloplasmin) แอลบูมิน (Albumin) ทรานส์ เฟอริน (Transferrin) แฮพโทกลอบิน (Haptoglobin) ฮีโมเพกซิน (Hemopexin) กรดยูริก (Uric Acid) บิลิรูบิน (Bilirubin) และซิสทิน (Cysteine)
2. สารต้านอนุมูลอิสระที่พบในอาหารและไม่จัดว่าเป็นเอนไซม์ เช่น วิตามินอี (Tocopherols) แคโรทีนอยด์ (Carotenoids) วิตามินซีหรือกรดแอสคอร์บิก (Ascorbic Acid) สเตียรอยด์ (Stearoids) ยูบิควิโนน (Ubiquinone) ไทออล (Thiols) อินโนซิน (Imosine) ทัวรีน (Taurine) ไพรูเวต (Pyruvate) กรดแกลลิก (Gallic Acid) ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) โทรลอกซ์ (Trolox) บีเอชที (BHT) บีเอชเอ (BHA)
สารต้านอนุมูลอิสระมีผลดีต่อร่างกายอย่างไร
สารต้านอนุมูลอิสระจะทำลายอนุมูลอิสระโดยการเข้าจับกับสารอนุมูลอิสระทำให้ลดการเกิดปฏิกิริยา ณ จุดเริ่มต้น หรือไม่ก็ยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ ทำให้ไม่เกิดปฏิกิริยา เมื่อสารอนุมูลอิสระมีจำนวนน้อยลง ปฏิกิริยาดังกล่าวในตอนแรกก็น้อยลงด้วย การกระทบต่อเยื่อหุ้มเซลล์หรือดีเอ็นเอก็เกิดน้อยลง โอกาสที่จะเกิดความเสี่ยงต่อโรคร้ายดังกล่าวก็ลดลงด้วย ดังนั้นผู้ที่ร่างกายได้รับอนุมูลอิสระอยู่เป็นประจำย่อมลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายดังกล่าว จึงเป็นคำตอบที่ว่าทำไมเราจะต้องไปสี่ยงในเมื่อเราเป็นผู้ที่รู้เหตุ ตามหลักพุทธศาสนาสอนให้แก้ไขที่ต้นเหตุ ไม่ใช่ปลายเหตุ
สารต่อไปนี้เราจึงควรรับประทานเช่น วิตามินอี บีตาแคโรทีน (Beta-carotene) วิตามินซี สารดังกล่าวนี้มีมากในผักและผลไม้จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการก่อมะเร็ง ลดการเป็นโรคหัวใจขาดเลือดและโรคอื่นๆอีก
อาหารที่มีบีตาแคโรทีนสูงคือ ผักใบเขียวทุกชนิดเช่น ตำลึง ผักบุ้ง ผักและผลไม้ที่มีสีเหลืองเช่น ข้าวโพดหวาน แครอท
วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2558
หลักการทำงานของ L-Arginine
หลักการทำงานของ L-Arginine
L-Arginine "โมเลกุลมหัศจรรย์" เป็นกรดอะมิโนที่สำคัญต่อร่างกาย มีบทบาทหลายประการในการทำงาน ระบะต่างๆในร่างกาย
บทบาทที่สำคัญเเละเป็นที่รู้จักดีที่สุดประการหนึ่งคือ มีบทบาทในการช่วยส่งเสริมระบบ หัวใจเเละหลอดเลือด L-Arginine จะถูกร่างกายเปลี่ยนให้เป็น NO (ไนตริกออกไซค์) ซึ่งช่วยในการคลายตัวและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับหลอดเลือด ผลคือทำให้โลหิตหมุนเวียนดีเเละลดความดันโลหิต
นอกจากนี้เเล้ว L-Arginine ยัง มีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระมากกว่า สารต้านอนุมูลอิสระที่ร่างกายสร้างขึ้นกว่า 1000 เท่าคุณสมบัติของสารต้านอนุมูลอิสระของมันจะเป็นประโยชน์สำหรับระบบต่างๆ ของร่างกายและอาจจัดให้มีการป้องกันโรคหัวใจโรคหลอดเลือดสมอง, โรคมะเร็งและโรคเบาหวานรวมทั้งการชะลอกระบวนการชรา
L-Arginine มีประโยชน์มากสำหรับระบบหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงการผลิต (NO) ไนตริกออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นโดย endothelium ซึ่งจะทำให้หลอดเลือดแดงของคุณยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งช่วยเปิดทางในหลอดเลือดให้การไหลเวียนของเลือดและความดันโลหิตลดลง
นอกจากนี้ยังช่วยบรรเทาอาการจุกเสียด มันสามารถปรับปรุงหน่วยความจำของ "สมอง" โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยความจำระยะยาวและอาจช่วยให้ย้อนกลับผลของโรคสมองเสื่อมและสมองเสื่อม มันอาจจะช่วยในการรักษาและป้องกันภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานที่เชื่อมโยงกับโรคเบาหวานรวมทั้งการไหลเวียนโลหิตที่ไม่ดีจากเบาหวานและตาบอดที่เกี่ยวข้องกับระบบหลอดเลือด Arginine นอกจากนี้ยังพบว่าควบคุมการหลั่งอินซูลินในตับอ่อน
L-Arginine ช่วยเพิ่มฮอร์โมนการเจริญเติบโตของมนุษย์การผลิต (Growth Hormone) ให้เข้าสู่ระดับปกติซึ่งมีประโยชน์ Anti - Aging (การต่อต้านความเสื่อมของร่างกาย) โดยจะช่วยปรับปรุงการสื่อสารของเซลล์ประสาทและ Messenger ระหว่างสมอง
เเละยังช่วยปรับปรุงการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันและต่อสู้กับการติดเชื้อแบคทีเรีย มันอาจจะยับยั้งการแบ่งและการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง
เเละยังจะช่วยลด LDL และระดับคอเลสเตอรอลในเลือด
L-Arginine สามารถเพิ่มประสิทธิภาพทางเพศชายหย่อนสมรรถภาพทางเพศโดยการรักษาหลอดเลือด (ED)เละมีความสามารถในการกันเลือดแข็งตัวที่สามารถลดการเกาะเป็นก้อนซึ่งช่วยลดความเสี่ยงหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมองเเล้วยังช่วยลดความดันโลหิตสูงที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพของแม่และทารกในครรภ์ รวมถึงมีประโยชน์ในการรักษาโรคหอบหืดโดยการเปิดทางเดินหายใจปอดเพื่อให้หายใจง่ายขึ้นและการรักษาความผิดปกติของปอด
L-arginine ยังช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อหูรูดกล้ามเนื้อตึงมากเกินไป, การป้องกันและรักษาโรคริดสีดวงทวาร มันส่งเสริมให้มวลกล้ามเนื้อติดมันและรักษาความหนาแน่นของกระดูกโดยการช่วยงานที่มีการผลิต HGH ซึ่งยังนำไปสู่การลดเนื้อเยื่อไขมัน มันอาจจะเป็นองค์ประกอบที่มีประโยชน์ในการควบคุมน้ำหนักเเละการเสียหายจากการออกกำลังกาย
L-Arginine ยังจะช่วยต่อต้านความเสียหายหลอดเลือดหัวใจและปอดที่เกิดจากการสูบบุหรี่ เนื่องจากระดับไนตริกออกไซด์ที่ร่างกายผลิตในผู้สูบบุหรี่จะน้อยกว่ากึ่งหนึ่งของผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ เเละยังช่วยเพิ่มความเร็วและการรักษาแผลผ่าตัด การวิจัยพบว่าจะมีประโยชน์ในการรักษาแผลไหม้และช่วยกระตุ้นการสมานแผลในผู้สูงอายุ
L-Arginine ยังจะป้องกันและฟื้นฟูผลกระทบของโรคกระดูกพรุนโดยการเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกเเละยังได้รับใช้ในการรักษาอาการลำไส้ (IBS) และเพื่อลดการเกิดแผลที่เกิดจากความเครียดโดยเฉพาะโดยไม่ต้องมีผลกระทบต่อการผลิตกรดในกระเพาะอาหาร
มันอาจช่วยให้การทำงานของไตและชะลอการดำเนินของโรคไตวายเรื้อรัง
L-Arginine ใช้ในผู้ป่วยโรคเบาหวานอาจได้รับประโยชน์จากการป้องกันผลกระทบจากโรคเบาหวานที่มีต่อไต
เเล้วเราจะหา L-Arginine ได้จากที่ไหน?
ในธรรมชาติ สามารถพบได้ใน ข้าวกล้อง ทับทิม ผลองุ่นเเห้ง พบมากในเนื้อดิบๆ เเละสัตว์ทะเล เเต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะปกป้องเเละเสริมประสิทธิภาพการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายของเราให้ต้านทานการเกิดโรคได้ ในร่างกายของเรานั้น L-Arginine มีบทบาทสำคัญ ในการปกป้องเราจากโรคร้ายต่างๆเช่น โรคหัวใจ เบาหวาน ความดัน หลอดเลือดตีบ เเละโรคที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกาย นอกจากนั้น L-Arginine ยังมีบทบาทสำคัญในการทำให้ร่างกายของเราคงความหนุ่มความสาว ทั้งภายในเเละภายนอก รวมทั้งยังฟื้นฟูเเละเสริมสมรรถภาพทางเพศ ได้อีกด้วยการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับคุณสมบัติของ L-Arginine
การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับคุณสมบัติของL-Arginine
L-Arginine ถูกริเริ่มใช้กับการ รักษาด้านหลอดเลือดหัวใจโดย Dr. J. Joseph Prendergast ผู้เชี่ยวชาญด้าน หลอดเลือดหัวใจ ฮอร์โมนเเละต่อมไร้ท่อ เป็นผู้ริเริ่มนำมาใช้ทางการเเพทย์ตั้งเเต่ปี 1991 Dr. Joseph Prendergast ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเเพทย์ที่รักษาผู้ป่วยโดยไม่ใช้ยา กว่า19ปีในการทำการรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจเเละเบาหวาน จำนวนมากถึง7000กว่าราย ของ Dr. Joseph ตั้งเเต่ที่เริ่มรักษาโดย L-Arginine ไม่พบรายงานการเสียชีวิตเนื่องจากอาการหัวใจวายเเละหลอดเลือดสมองเลยซักราย
คลิป กลไกลการทำงานของ L-Arginine คลิก
L-Arginine มีหลักการทำงานหลักๆ 2 ส่วนด้วยกันคือ
- ส่วนเเรก L-Arginine จะเข้าไปกระตุ้น ต่อมใต้สมอง (พิทูอิทาร)ีให้หลั่ง Human Growth Hormone (HGH) Growth Hormone นี้เป็นกุญแจสำคัญของความเป็นหนุ่มเป็นสาว เนื่องจาก ตอนร่างกายคนเราอยู่ในช่วง วัยเด็ก-อายุ 22 ปี Growth Hormone จะถูกหลั่งออกมาในปริมาณมาก เพื่อเสริมสร้างร่างกายให้เติบโตสมบูรณ์ แต่หลังจากอายุ 22 ปีขึ้นไป Growth Hormone จะหลังออกมาน้อยลงเรื่อยๆ เจ้า Growth Hormone นี้เองที่คอยกระตุ้นกระบวนการต่างๆของร่างกาย เพื่อซ่อมแซมและเสริมสร้างร่างกายให้สมบูรณ์อยู่เสมอ เมื่ออายุมากขึ้นฮอร์โมนตัวนี้หลังออกมาน้อยลง ทำให้ร่างกายของเราเสื่อมลงเรื่อยๆ ถ้าร่างกายบาดเจ็บหรือเสียหายในวัยเด็กจะซ่อมแซมได้อย่างรวดเร็วไม่ยากเย็น เราจะสังเกตได้จากช่วงชีวิตในวัยเด็กของเราถ้าเราเกิดการเจ็บป่วยหรือการบาดเจ็บขึ้นกับร่างกายเราจะหายเป็นปกติได้อยากรวดเร็ว แต่เมื่ออายุมากขึ้นฮอร์โมนตัวนี้ก็เริ่มหลั่งน้อยลงเรื่อยๆ ร่างกายเราจึงเสือมถอยลงเรื่อยๆ จากที่เคยแข็งแรง โรคภัยไข้เจ็บต่างๆก็มาเยือน เพราะเมื่อร่างกายเกิดการเสียหาย กระบวนการซ่อมเเซมเเละฟื้นฟูของเรามีประสิธิภาพต่ำลงจนร่างกายไม่สามารถฟื้นฟูให้สมบูรณ์เเข็งเเรงได้ Growth Hormone นอกจากจะช่วยคงความหนุ่มสาวให้กับร่างกายของเราแล้ว ยังมีอีกบทบาทหนึ่งที่สำคัญ คือจะถูกตับเปลียนเป็นสาร IGF-1 ซึ่งมีหน้าที่ในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งส่งผลดีต่อผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน
- ส่วนที่สอง L-Arginine จะทำให้เกิดไนตริกออกไซค์(No) ในหลอดเลือด ซึ่งเจ้าไนตริกออกไซค์ นี้จะเกิดขึ้นในหลอดเลือดของเราประมาณ 15 วินาที จะทำหน้าที่ทำความสะอาดหลอดเลือดทะลวง คราบพลัค หรือไขมันที่เกาะหรืออุดตันในผนังหลอดเลือด นอกจากนั้นยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับหลอดเลือด ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในการรักษาโรคหัวใจ หลอดเลือดตีบตัน และความดัน และกระตุ้นให้ร่างการสร้างโคเอ็มไซม์ คิว 10 หรือ Co Q10 นอกจากจะเป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางค์และใช้ในด้านการบำรุงรักษาผิวพรรณ์แล้วยังเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญให้กับเซลล์ต่างๆในร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ ให้สมบูรณ์แข็งแรง และยังช่วยชดเชยความเสียหายให้กับเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ รวมทั้งทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น L-Arginine ยังถูกนำมาใช้ในการฟื้นฟูเเละ เพิ่มสมรรถภาพทางเพศอีกด้วย
สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือรับคำปรึกษา
ติดต่อ 092-645-4256 โค้ชเกมส์
L-Arginine "โมเลกุลมหัศจรรย์" เป็นกรดอะมิโนที่สำคัญต่อร่างกาย มีบทบาทหลายประการในการทำงาน ระบะต่างๆในร่างกาย
บทบาทที่สำคัญเเละเป็นที่รู้จักดีที่สุดประการหนึ่งคือ มีบทบาทในการช่วยส่งเสริมระบบ หัวใจเเละหลอดเลือด L-Arginine จะถูกร่างกายเปลี่ยนให้เป็น NO (ไนตริกออกไซค์) ซึ่งช่วยในการคลายตัวและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับหลอดเลือด ผลคือทำให้โลหิตหมุนเวียนดีเเละลดความดันโลหิต
นอกจากนี้เเล้ว L-Arginine ยัง มีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระมากกว่า สารต้านอนุมูลอิสระที่ร่างกายสร้างขึ้นกว่า 1000 เท่าคุณสมบัติของสารต้านอนุมูลอิสระของมันจะเป็นประโยชน์สำหรับระบบต่างๆ ของร่างกายและอาจจัดให้มีการป้องกันโรคหัวใจโรคหลอดเลือดสมอง, โรคมะเร็งและโรคเบาหวานรวมทั้งการชะลอกระบวนการชรา
L-Arginine มีประโยชน์มากสำหรับระบบหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงการผลิต (NO) ไนตริกออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นโดย endothelium ซึ่งจะทำให้หลอดเลือดแดงของคุณยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งช่วยเปิดทางในหลอดเลือดให้การไหลเวียนของเลือดและความดันโลหิตลดลง
นอกจากนี้ยังช่วยบรรเทาอาการจุกเสียด มันสามารถปรับปรุงหน่วยความจำของ "สมอง" โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยความจำระยะยาวและอาจช่วยให้ย้อนกลับผลของโรคสมองเสื่อมและสมองเสื่อม มันอาจจะช่วยในการรักษาและป้องกันภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานที่เชื่อมโยงกับโรคเบาหวานรวมทั้งการไหลเวียนโลหิตที่ไม่ดีจากเบาหวานและตาบอดที่เกี่ยวข้องกับระบบหลอดเลือด Arginine นอกจากนี้ยังพบว่าควบคุมการหลั่งอินซูลินในตับอ่อน
L-Arginine ช่วยเพิ่มฮอร์โมนการเจริญเติบโตของมนุษย์การผลิต (Growth Hormone) ให้เข้าสู่ระดับปกติซึ่งมีประโยชน์ Anti - Aging (การต่อต้านความเสื่อมของร่างกาย) โดยจะช่วยปรับปรุงการสื่อสารของเซลล์ประสาทและ Messenger ระหว่างสมอง
เเละยังช่วยปรับปรุงการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันและต่อสู้กับการติดเชื้อแบคทีเรีย มันอาจจะยับยั้งการแบ่งและการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง
เเละยังจะช่วยลด LDL และระดับคอเลสเตอรอลในเลือด
L-Arginine สามารถเพิ่มประสิทธิภาพทางเพศชายหย่อนสมรรถภาพทางเพศโดยการรักษาหลอดเลือด (ED)เละมีความสามารถในการกันเลือดแข็งตัวที่สามารถลดการเกาะเป็นก้อนซึ่งช่วยลดความเสี่ยงหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมองเเล้วยังช่วยลดความดันโลหิตสูงที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพของแม่และทารกในครรภ์ รวมถึงมีประโยชน์ในการรักษาโรคหอบหืดโดยการเปิดทางเดินหายใจปอดเพื่อให้หายใจง่ายขึ้นและการรักษาความผิดปกติของปอด
L-arginine ยังช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อหูรูดกล้ามเนื้อตึงมากเกินไป, การป้องกันและรักษาโรคริดสีดวงทวาร มันส่งเสริมให้มวลกล้ามเนื้อติดมันและรักษาความหนาแน่นของกระดูกโดยการช่วยงานที่มีการผลิต HGH ซึ่งยังนำไปสู่การลดเนื้อเยื่อไขมัน มันอาจจะเป็นองค์ประกอบที่มีประโยชน์ในการควบคุมน้ำหนักเเละการเสียหายจากการออกกำลังกาย
L-Arginine ยังจะช่วยต่อต้านความเสียหายหลอดเลือดหัวใจและปอดที่เกิดจากการสูบบุหรี่ เนื่องจากระดับไนตริกออกไซด์ที่ร่างกายผลิตในผู้สูบบุหรี่จะน้อยกว่ากึ่งหนึ่งของผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ เเละยังช่วยเพิ่มความเร็วและการรักษาแผลผ่าตัด การวิจัยพบว่าจะมีประโยชน์ในการรักษาแผลไหม้และช่วยกระตุ้นการสมานแผลในผู้สูงอายุ
L-Arginine ยังจะป้องกันและฟื้นฟูผลกระทบของโรคกระดูกพรุนโดยการเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกเเละยังได้รับใช้ในการรักษาอาการลำไส้ (IBS) และเพื่อลดการเกิดแผลที่เกิดจากความเครียดโดยเฉพาะโดยไม่ต้องมีผลกระทบต่อการผลิตกรดในกระเพาะอาหาร
มันอาจช่วยให้การทำงานของไตและชะลอการดำเนินของโรคไตวายเรื้อรัง
L-Arginine ใช้ในผู้ป่วยโรคเบาหวานอาจได้รับประโยชน์จากการป้องกันผลกระทบจากโรคเบาหวานที่มีต่อไต
เเล้วเราจะหา L-Arginine ได้จากที่ไหน?
ในธรรมชาติ สามารถพบได้ใน ข้าวกล้อง ทับทิม ผลองุ่นเเห้ง พบมากในเนื้อดิบๆ เเละสัตว์ทะเล เเต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะปกป้องเเละเสริมประสิทธิภาพการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายของเราให้ต้านทานการเกิดโรคได้ ในร่างกายของเรานั้น L-Arginine มีบทบาทสำคัญ ในการปกป้องเราจากโรคร้ายต่างๆเช่น โรคหัวใจ เบาหวาน ความดัน หลอดเลือดตีบ เเละโรคที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกาย นอกจากนั้น L-Arginine ยังมีบทบาทสำคัญในการทำให้ร่างกายของเราคงความหนุ่มความสาว ทั้งภายในเเละภายนอก รวมทั้งยังฟื้นฟูเเละเสริมสมรรถภาพทางเพศ ได้อีกด้วยการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับคุณสมบัติของ L-Arginine
การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับคุณสมบัติของL-Arginine
คลิป กลไกลการทำงานของ L-Arginine คลิก
L-Arginine มีหลักการทำงานหลักๆ 2 ส่วนด้วยกันคือ
- ส่วนเเรก L-Arginine จะเข้าไปกระตุ้น ต่อมใต้สมอง (พิทูอิทาร)ีให้หลั่ง Human Growth Hormone (HGH) Growth Hormone นี้เป็นกุญแจสำคัญของความเป็นหนุ่มเป็นสาว เนื่องจาก ตอนร่างกายคนเราอยู่ในช่วง วัยเด็ก-อายุ 22 ปี Growth Hormone จะถูกหลั่งออกมาในปริมาณมาก เพื่อเสริมสร้างร่างกายให้เติบโตสมบูรณ์ แต่หลังจากอายุ 22 ปีขึ้นไป Growth Hormone จะหลังออกมาน้อยลงเรื่อยๆ เจ้า Growth Hormone นี้เองที่คอยกระตุ้นกระบวนการต่างๆของร่างกาย เพื่อซ่อมแซมและเสริมสร้างร่างกายให้สมบูรณ์อยู่เสมอ เมื่ออายุมากขึ้นฮอร์โมนตัวนี้หลังออกมาน้อยลง ทำให้ร่างกายของเราเสื่อมลงเรื่อยๆ ถ้าร่างกายบาดเจ็บหรือเสียหายในวัยเด็กจะซ่อมแซมได้อย่างรวดเร็วไม่ยากเย็น เราจะสังเกตได้จากช่วงชีวิตในวัยเด็กของเราถ้าเราเกิดการเจ็บป่วยหรือการบาดเจ็บขึ้นกับร่างกายเราจะหายเป็นปกติได้อยากรวดเร็ว แต่เมื่ออายุมากขึ้นฮอร์โมนตัวนี้ก็เริ่มหลั่งน้อยลงเรื่อยๆ ร่างกายเราจึงเสือมถอยลงเรื่อยๆ จากที่เคยแข็งแรง โรคภัยไข้เจ็บต่างๆก็มาเยือน เพราะเมื่อร่างกายเกิดการเสียหาย กระบวนการซ่อมเเซมเเละฟื้นฟูของเรามีประสิธิภาพต่ำลงจนร่างกายไม่สามารถฟื้นฟูให้สมบูรณ์เเข็งเเรงได้ Growth Hormone นอกจากจะช่วยคงความหนุ่มสาวให้กับร่างกายของเราแล้ว ยังมีอีกบทบาทหนึ่งที่สำคัญ คือจะถูกตับเปลียนเป็นสาร IGF-1 ซึ่งมีหน้าที่ในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งส่งผลดีต่อผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน
- ส่วนที่สอง L-Arginine จะทำให้เกิดไนตริกออกไซค์(No) ในหลอดเลือด ซึ่งเจ้าไนตริกออกไซค์ นี้จะเกิดขึ้นในหลอดเลือดของเราประมาณ 15 วินาที จะทำหน้าที่ทำความสะอาดหลอดเลือดทะลวง คราบพลัค หรือไขมันที่เกาะหรืออุดตันในผนังหลอดเลือด นอกจากนั้นยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับหลอดเลือด ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในการรักษาโรคหัวใจ หลอดเลือดตีบตัน และความดัน และกระตุ้นให้ร่างการสร้างโคเอ็มไซม์ คิว 10 หรือ Co Q10 นอกจากจะเป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางค์และใช้ในด้านการบำรุงรักษาผิวพรรณ์แล้วยังเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญให้กับเซลล์ต่างๆในร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ ให้สมบูรณ์แข็งแรง และยังช่วยชดเชยความเสียหายให้กับเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ รวมทั้งทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น L-Arginine ยังถูกนำมาใช้ในการฟื้นฟูเเละ เพิ่มสมรรถภาพทางเพศอีกด้วย
สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือรับคำปรึกษา
ติดต่อ 092-645-4256 โค้ชเกมส์
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2558
อันตราย! จากการทานยาลดไขมัน ยากลุ่ม Statin
ยากลุ่ม Statin
HMG CoA reductase inhibitor [ statin ]
ยาในกลุ่มนี้ประกอบด้วย
-Lovastatin[ 20-80 mg]
-Simvastatin [ 20-80mg ]
-Fluvastatin [20-80 mg ]
-Atrovastatin [10-80 mg]
ยาในกลุ่มนี้
ลด LDL ได้ร้อยละ 18-55%
เพิ่ม HDL ได้ร้อยละ 5-15%
ลด TG ได้ร้อยละ 7-30%
พบว่าการให้ยานี้เพื่อลดไขมัน จะทำให้อัตราการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดลดลง
ผลข้างเคียงของยา จะทำให้เกิดการอักเสบของกล้ามเนื้อและตับ
ข้อห้าม
ใช้ในผู้ป่วยที่มีตับอักเสบเฉียบพลัน และตับอักเสบเรื้อรัง และห้ามใช้ร่วมกับยา cyclosporin ยารักษาเชื้อรา ยาจะออกฤทธิ์ที่ตับทำให้ไขมัน LDL Chloresterol ลดลง
ประสิทธิภาพของยา
หากสามารถลดไขมัน LDL ได้ประมาณ 40 มก % จะสามารถ
ลดอัตราการเสียชีวิตได้ร้อยละ 10
ลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจลงร้อยละ 20
ลดอัตราการเกิดโรคหัวใจได้ร้อยละ 23
ลดการเกิดโรคหลอดเลือดสมองได้ร้อยละ 17
เมื่อไรจึงจะใช้ยา Statin
การจะใช้ยา Statin เพื่อลดไขมันในเลือดมีองค์ประกอบที่พิจารณาอยู่สองประการ
ประการแรกคือระดับไขมันในเลือด
ความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ
ไขมันในเลือดสูงจะหมายถึงระดับ total cholesterol level เท่ากับหรือมากกว่า 240 (mg/dL) หรือไขมัน low-density lipoprotein cholesterol (LDL, or "bad" cholesterol) เท่ากับหรือมากกว่า 130 mg/dL แพทย์จะรักษาไขมันในเลือดสูงจะต้องมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
ปัจจัยเสี่ยงได้แก่
ประวัติครอบครัวเป็นโรคไขมันหรือ โรคหลอดเลือดหัวใจ
ไม่ออกกำลังกาย
ความดันโลหิตสูง
สุขภาพโดยทั่วไปไม่ดี
เป็นโรคเบาหวาน
อ้วนหรือน้ำหนักเกิน
สูบบุหรี่
โรคหลอดเลือดแข็ง
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการรักษาไขมันในเลือดสูง
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจะเป็นวิธีการรักษาหลักในการลดไขมันในเลือด วิธีการได้แก่
หยุดสูบบุหรี่
รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ
ออกกำลังกายวันละ 30 นาที
การจัดการเรื่องความเครียด
หลังจากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วระดับไขมัน (LDL) cholesterol ของท่านยังสูง และหากมีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจ แพทย์จะพิจารณาให้ยาลดไขมัน statin เพื่อรักษาไขมันในเลือด
ไขมันในเลือดสูง
ความดันโลหิตสูง
เป็นโรคเบาหวาน
อ้วนหรือน้ำหนักเกิน
ประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ
ไม่ออกกำลังกาย
ดื่มสุราอย่างมาก
เครียด
อายุมาก
สูบบหรี่
โรคหลอดเลือดแข็ง
รักษาไขมันในเลือดแล้วจะหยุดยาลดไขมันได้หรือไม่
การจะพิจารณาว่าจะหยุดยาหรือไม่ มีหลักพิจารณาอยู่หลายประการ
ระดับไขมันก่อนการรักษา หากไขมันก่อนการรักษาสูงมาก การควบคุมโดยใช้การออกกำลังกายและการคุมอาหารอาจจะไม่เพียงพอ อาจจะจำเป็นต้องใช้ยา
ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ หากมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจสูงก็ไม่ควรหยุดยา
โรคประจำตัว หากท่านมีโรคประจำตัวที่เสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงของยา ถ้าไขมันไม่สูงมาก และท่านปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ดี ก็อาจจะหยุดยาได้
แต่หลังจากหยุดยาหรือลดยาท่านจะต้องปรับพฤติกรรม และไปตามแพทย์นัด
ผลข้างเคียงของยา
กล้ามเนื้ออักเสบ พบได้ไม่บ่อย หากไม่จัดการก็อาจจะกลายเป็นกล้ามเนื้อถูกทำลายมากจนไตวาย ปัจจัยที่ส่งเสริมทำให้เกิดกล้ามเนื้ออักเสบได้แก่
อายุมาก
รูปร่างเล็ก
เพศหญิง
เป็นโรคตับหรือโรคไต
ต่อมไทรอยด์ทำงานน้อย
ดื่มสุรา
รับประทานยาหลายชนิด
อาการปวดกล้ามเนื้อพบได้ร้อยละ5-10 โดยมีอาการที่สำคัญคือปวดกล้ามเนื้อ โดยทั่วไปเจาะเลือดหาระดับ CPK มักจะไม่สูง หากผู้ป่วยปวดไม่มากขึ้น และทนอาการปวดได้ก็แนะนำให้รับประทานยาต่อ หากปวดมากขึ้นจนทนไม่ได้หรือค่า CPK สูงก็ให้หยุดยา
ตับอักเสบ
พบว่าเกิดตับอักเสบร้อยละ 0.5-2%โดยจะต้องตรวจเลือดพบว่าค่า SGOTสูงมากว่าค่าปกติ 3เท่า 2 ครั้งห่างกันเป็นสัปดาห์ เมื่อลดขนาดของยาค่านี้ก็จะลดลง
ผลข้างเคียงที่พบบ่อยแต่ไม่อันตรายได้แก่
ปวดกล้ามเนื้อ พบบ่อยที่สุด
คลื่นไส้
ท้องร่วง
ท้องผูก
ผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย
ตับอักเสบเฉียบพลัน หากค่าผลเลือดไม่สูงมากก็รับประทานยาต่อ ยาที่จะส่งเสริมทำให้เกิดตับอักเสบได้แก่ gemfibrozil และ niacin
ปัญหาเกี่ยวกับกล้ามเนื้อ หากรับประทานยาในขนาดสูงจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดกล้ามเนื้ออักเสบ ในรายที่รุนแรงกล้ามเนื้อจะตาย และทำให้เกิดไตวาย
เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด
มีรายงานว่ายานี้อาจจะทำให้ความจำเสื่อม แต่เมื่อหยุดยาอาการก็กลับสู่ปกติ
simvastatin atrovastatin rosuvastatin lovastatin
การใช้ยานี้ร่วมกับยาอื่น
ยานี้หากใช้ร่วมกับ gemfibrozil จะทำให้เกิดกล้ามเนื้ออักเสบเพิ่มมากขึ้น สำหรับยา fenofibrate, bezafibrate, หรือ ciprofibrate เกิดกล้ามเนื้ออักเสบได้น้อย
อยากให้อ่านทำความเข้าใจครับว่า "ยา" ก็ไม่ใช่คำตอบเสมอไป แล้วถ้าไม่ต้องทานยา จะทำอย่างไร?
Click มาเพื่อดูว่าไม่ต้องทานยาต้องทำอย่างไร Detox หลอดเลือด
โทรมาที่ 092-645-4256 โค้ชเกมส์ มีคำตอบครับ
หรือ click proargi9.net
HMG CoA reductase inhibitor [ statin ]
ยาในกลุ่มนี้ประกอบด้วย
-Lovastatin[ 20-80 mg]
-Simvastatin [ 20-80mg ]
-Fluvastatin [20-80 mg ]
-Atrovastatin [10-80 mg]
ยาในกลุ่มนี้
ลด LDL ได้ร้อยละ 18-55%
เพิ่ม HDL ได้ร้อยละ 5-15%
ลด TG ได้ร้อยละ 7-30%
พบว่าการให้ยานี้เพื่อลดไขมัน จะทำให้อัตราการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดลดลง
ผลข้างเคียงของยา จะทำให้เกิดการอักเสบของกล้ามเนื้อและตับ
ข้อห้าม
ใช้ในผู้ป่วยที่มีตับอักเสบเฉียบพลัน และตับอักเสบเรื้อรัง และห้ามใช้ร่วมกับยา cyclosporin ยารักษาเชื้อรา ยาจะออกฤทธิ์ที่ตับทำให้ไขมัน LDL Chloresterol ลดลง
ประสิทธิภาพของยา
หากสามารถลดไขมัน LDL ได้ประมาณ 40 มก % จะสามารถ
ลดอัตราการเสียชีวิตได้ร้อยละ 10
ลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจลงร้อยละ 20
ลดอัตราการเกิดโรคหัวใจได้ร้อยละ 23
ลดการเกิดโรคหลอดเลือดสมองได้ร้อยละ 17
เมื่อไรจึงจะใช้ยา Statin
การจะใช้ยา Statin เพื่อลดไขมันในเลือดมีองค์ประกอบที่พิจารณาอยู่สองประการ
ประการแรกคือระดับไขมันในเลือด
ความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ
ไขมันในเลือดสูงจะหมายถึงระดับ total cholesterol level เท่ากับหรือมากกว่า 240 (mg/dL) หรือไขมัน low-density lipoprotein cholesterol (LDL, or "bad" cholesterol) เท่ากับหรือมากกว่า 130 mg/dL แพทย์จะรักษาไขมันในเลือดสูงจะต้องมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
ปัจจัยเสี่ยงได้แก่
ประวัติครอบครัวเป็นโรคไขมันหรือ โรคหลอดเลือดหัวใจ
ไม่ออกกำลังกาย
ความดันโลหิตสูง
สุขภาพโดยทั่วไปไม่ดี
เป็นโรคเบาหวาน
อ้วนหรือน้ำหนักเกิน
สูบบุหรี่
โรคหลอดเลือดแข็ง
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการรักษาไขมันในเลือดสูง
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจะเป็นวิธีการรักษาหลักในการลดไขมันในเลือด วิธีการได้แก่
หยุดสูบบุหรี่
รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ
ออกกำลังกายวันละ 30 นาที
การจัดการเรื่องความเครียด
หลังจากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วระดับไขมัน (LDL) cholesterol ของท่านยังสูง และหากมีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจ แพทย์จะพิจารณาให้ยาลดไขมัน statin เพื่อรักษาไขมันในเลือด
ไขมันในเลือดสูง
ความดันโลหิตสูง
เป็นโรคเบาหวาน
อ้วนหรือน้ำหนักเกิน
ประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ
ไม่ออกกำลังกาย
ดื่มสุราอย่างมาก
เครียด
อายุมาก
สูบบหรี่
โรคหลอดเลือดแข็ง
รักษาไขมันในเลือดแล้วจะหยุดยาลดไขมันได้หรือไม่
การจะพิจารณาว่าจะหยุดยาหรือไม่ มีหลักพิจารณาอยู่หลายประการ
ระดับไขมันก่อนการรักษา หากไขมันก่อนการรักษาสูงมาก การควบคุมโดยใช้การออกกำลังกายและการคุมอาหารอาจจะไม่เพียงพอ อาจจะจำเป็นต้องใช้ยา
ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ หากมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจสูงก็ไม่ควรหยุดยา
โรคประจำตัว หากท่านมีโรคประจำตัวที่เสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงของยา ถ้าไขมันไม่สูงมาก และท่านปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ดี ก็อาจจะหยุดยาได้
แต่หลังจากหยุดยาหรือลดยาท่านจะต้องปรับพฤติกรรม และไปตามแพทย์นัด
ผลข้างเคียงของยา
กล้ามเนื้ออักเสบ พบได้ไม่บ่อย หากไม่จัดการก็อาจจะกลายเป็นกล้ามเนื้อถูกทำลายมากจนไตวาย ปัจจัยที่ส่งเสริมทำให้เกิดกล้ามเนื้ออักเสบได้แก่
อายุมาก
รูปร่างเล็ก
เพศหญิง
เป็นโรคตับหรือโรคไต
ต่อมไทรอยด์ทำงานน้อย
ดื่มสุรา
รับประทานยาหลายชนิด
อาการปวดกล้ามเนื้อพบได้ร้อยละ5-10 โดยมีอาการที่สำคัญคือปวดกล้ามเนื้อ โดยทั่วไปเจาะเลือดหาระดับ CPK มักจะไม่สูง หากผู้ป่วยปวดไม่มากขึ้น และทนอาการปวดได้ก็แนะนำให้รับประทานยาต่อ หากปวดมากขึ้นจนทนไม่ได้หรือค่า CPK สูงก็ให้หยุดยา
ตับอักเสบ
พบว่าเกิดตับอักเสบร้อยละ 0.5-2%โดยจะต้องตรวจเลือดพบว่าค่า SGOTสูงมากว่าค่าปกติ 3เท่า 2 ครั้งห่างกันเป็นสัปดาห์ เมื่อลดขนาดของยาค่านี้ก็จะลดลง
ผลข้างเคียงที่พบบ่อยแต่ไม่อันตรายได้แก่
ปวดกล้ามเนื้อ พบบ่อยที่สุด
คลื่นไส้
ท้องร่วง
ท้องผูก
ผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย
ตับอักเสบเฉียบพลัน หากค่าผลเลือดไม่สูงมากก็รับประทานยาต่อ ยาที่จะส่งเสริมทำให้เกิดตับอักเสบได้แก่ gemfibrozil และ niacin
ปัญหาเกี่ยวกับกล้ามเนื้อ หากรับประทานยาในขนาดสูงจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดกล้ามเนื้ออักเสบ ในรายที่รุนแรงกล้ามเนื้อจะตาย และทำให้เกิดไตวาย
เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด
มีรายงานว่ายานี้อาจจะทำให้ความจำเสื่อม แต่เมื่อหยุดยาอาการก็กลับสู่ปกติ
simvastatin atrovastatin rosuvastatin lovastatin
การใช้ยานี้ร่วมกับยาอื่น
ยานี้หากใช้ร่วมกับ gemfibrozil จะทำให้เกิดกล้ามเนื้ออักเสบเพิ่มมากขึ้น สำหรับยา fenofibrate, bezafibrate, หรือ ciprofibrate เกิดกล้ามเนื้ออักเสบได้น้อย
อยากให้อ่านทำความเข้าใจครับว่า "ยา" ก็ไม่ใช่คำตอบเสมอไป แล้วถ้าไม่ต้องทานยา จะทำอย่างไร?
Click มาเพื่อดูว่าไม่ต้องทานยาต้องทำอย่างไร Detox หลอดเลือด
โทรมาที่ 092-645-4256 โค้ชเกมส์ มีคำตอบครับ
หรือ click proargi9.net
L-Arginine สารอาหารบำรุงไต
L-Arginine สารอาหารบำรุงไต
ไต เป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่กรองของเสียออกจากร่างกาย และขับออกทางปัสสาวะ สภาวะใดๆ ก็ตามที่ทำให้การทำงานของไตลดลง เรียกว่า สภาวะไตวาย (Renal Failure) ซึ่งมีอาการตั้งแต่ไตวายเรื้อรังจนถึงไตวายเฉียบพลัน ซึ่งต้องอาศัยการฟอกไตในกระบวนการฟอกไต ร่างกายจะมีการสูญเสียกรดอะมิโนออกไปจำนวนหนึ่งดังนั้น ผู้ป่วยที่ได้รับการฟอกไต ควรจะได้รับสารอาหารที่มีกรดอะมิโนจำเป็นทดแทน มีรายงานว่ากรดอะมิโนบางชนิด เช่น แอล-อาร์จินีนแอล-ออร์นิทีน แอล-กลูตามีน และแอล-เมทิโอนีน ทำให้การทำงานของไตในผู้ป่วยไตวายดีขึ้น นอกจากนี้แอล-อาร์จินีน ยังมีบทบาทลดความดันโลหิต ซึ่งเป็น อาการแทรกซ้อนของภาวะไตวาย แอล-อาร์จีนีน แอล-กลูตามีน และแอล-เมทิโอนีน ยังทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสียหายของไตที่เสื่อมสภาพลงด้วย
แอล-อาร์จินีน (L-Arginine)
มีผลงานวิจัยการให้แอล-อาร์จินีนในหนูทดลองที่มีภาวะไตวายพบว่าทำให้อัตราการกรองดีขึ้นและมีเลือดไหลเวียนไปเลี้ยงหน่วยไตมากขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยลดความดันโลหิต อันเป็นผลข้างเคียงของภาวะไตวาย และยับยั้งการเกิดสารAGE(Advanced GlycationEnd Products) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้หลอดเลือดอักเสบอีกด้วย
แอล-ออร์นิทีน (L-Ornithine)
มีผลงานวิจัยการให้ แอล-อาร์จินีน และแอล-ออร์นิทีน ในเซลล์ตับของหนูทดลองที่เป็นไตวาย พบว่า มีกรดกัวนิดิโอซัคซินิค (Guanidiosuccinic Acid) ซึ่งเป็นสารจากการที่มียูเรีย (Urea) คั่งในตับลดลงแสดงว่า มีสภาวะการทำงานของไตดีขึ้น
แอล-กลูตามีน (L-Glutamin)
เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่งรวมทั้งเป็นหนึ่ง ในสารตั้งต้นการสร้างกลูต้าไธโอน ซึ่งมีคุณสมบัติลดการถูกทำลายของไต โดยอนุมูลอิสระ
แอล-ซีสเทอีน (L-Cysteine)
เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่ง รวมทั้งเป็นหนึ่งในสารตั้งต้นการสร้างกลูต้าไธโอน ซึ่งมีคุณสมบัติลดการถูกทำลายของไตโดยอนุมูลอิสระ
แอล-เมทิโอนีน (L-Methionine)
เป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกชนิดหนึ่ง ลดการถูกทำลายของหน่วยไต
ไพริดอกซีน ไฮโดรคลอไรด์ (Pyridoxine Hydrochloride)
ในผู้ป่วยโรคไต มักจะขาดวิตามินบี 6 เมื่อได้รับวิตามินบี 6 พบว่า มีอัตราการทำงานของไตเพิ่มขึ้น
วิตามินดี 3 (Vitamin D3)
เนื่องจากวิตามินดีมีการแปรรูปให้อยู่ในรูปที่ใช้งานได้ที่ไตผู้ป่วยไตวายจะมีอาการขาดวิตามินดี และควรได้รับวิตามินดีเสริม เพื่อป้องกันโรคกระดูกพรุน
References
Ando A. Orita Y. Nakata K. Tsubakihara Y. Takamitsu Y.Ueda N.Yanase M. Abe H. Effect of low protein diet and surplus of essential amino acids on the serum concentration and the urinary excretion of methylguanidine and guanidinosuccinic acid in chronic renal failure. Nephron. 24:161-9, 1979
Matsumoto Y. Amano I. Dialysis Therapy and Carnitine III. Hemodialysis and carnitine. The Japanese Journal of Clinical Dialysis. 16 (2): 23-9,2000
Reyes AA. Purkerson ML. karl I. Klahr S. Dietary supplementation with L-arginine ameliorates the progression of renal disease in rats with subtotal nephrectomy. American Journal of kidney Diseases. 20 (5 Suppl 2) : 1992