วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

มาตรวจสอบต่อมน้ำเหลืองกัน จะได้รู้ว่าเราควรจะต้อง Detox กันแล้วหรือยัง

​วิธีการ ตรวจต่อมน้ำเหลือง

ระบบน้ำเหลืองประกอบไปด้วยต่อม กลมๆ เล็กๆ ที่เกิดจากเนื้อเยื่อน้ำเหลือง ต่อมน้ำเหลืองมีความสำคัญต่อการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และมักบวมโตเมื่อเกิดการติดเชื้อหรือสาเหตุอื่นๆ ถ้าสังเกตเห็นว่าต่อมน้ำเหลืองของคุณบวมขึ้น การไปพบแพทย์น่าจะเป็นความคิดที่ดีที่สุด อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณสามารถตรวจต่อมน้ำเหลืองได้ด้วยตัวเอง ก็อาจช่วยให้คุณตรวจพบปัญหาต่างๆ ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ

1.รู้ตำแหน่งของต่อมน้ำเหลือง. 
ต่อมน้ำเหลืองมีมากที่สุด บริเวณ คอ รอบกระดูกไหปลาร้า ในรักแร้ และระหว่างขาหนีบ
– ต่อมน้ำเหลืองจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มๆ และมีขนาดประมาณเม็ดถั่วลันเตาหรือถั่วแดง
– ต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ระหว่างขาหนีบเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าไข่ดัน

2.แนบ 3 นิ้วแรกให้ชิดกัน.
 
เราจะใช้แผงนิ้วกดลงไปเบาๆ บนผิวตามจุดต่างๆ ของร่างกายที่เป็นที่ตั้งของต่อมน้ำเหลือง

3.กดนิ้วลงบนส่วนปลายแขน. 
เพื่อให้คุณสัมผัสได้ว่าจุดปกติที่ไม่มีอาการบวมบนร่างกายนั้นมีลักษณะเป็นเช่นไร?

4.วางนิ้วลงบนรักแร้และไล่ลงมาประมาณ 2-3 นิ้ว.
 
ตรงจุดนี้จะมีต่อมน้ำเหลืองยาวลงไปจนถึงช่วงล่างของรักแร้ ใกล้กับผนังทรวงอก

5.กดลงไปเบาๆ. 
คุณรู้สึกถึงอะไรที่ผิดปกติบ้างรึเปล่า หรือมีอะไรที่รู้สึกว่าต่างไปจากเมื่อคุณกดลงบริเวณปลายแขน คุณควรจะรู้สึกได้ถึงผนังทรวงอกและกล้ามเนื้อ รวมถึงไขมันใต้ชั้นผิวหนัง แต่ถ้ารู้สึกว่ามีก้อนอะไรสักอย่างแฝงอยู่ในเนื้อนุ่มนิ่ม แล้วรู้สึกเจ็บ แสดงว่าต่อมน้ำเหลืองของคุณอาจมีอาการบวมโต
– ทำวิธีการเดิมใต้รักแร้อีกข้างโดยใช้มืออีกข้าง
– ต่อมน้ำเหลืองที่บวมมักมีขนาดประมาณเม็ดถั่วลันเตาหรือถั่วรูปไต

6.ตรวจต่อมน้ำเหลืองบนลำคอและกระดูกไหปลาร้า.
 
ใช้ 3 นิ้วแรกของมือแต่ละข้างวนเป็นวงกลมหลังใบหู ไล่ลงมาจนถึงด้านข้างลำคอและใต้แนวขากรรไกร ถ้ารู้สึกว่ามีอะไรเป็นก้อนๆ รวมอยู่ในเนื้อนุ่มนิ่ม แสดงว่าคุณอาจมีอาการต่อมน้ำเหลืองบวม และอาจมีอาการแน่นในลำคอและกลืนอาหารลงได้ยากร่วมด้วย

7.เลื่อนนิ้วไปจนถึงขาพับตรงจุดที่ต้นขาบรรจบกับเชิงกราน. 
กดนิ้วเข้าไปตรงขาพับ คุณควรจะรู้สึกได้ถึงกล้ามเนื้อ กระดูก และชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ถ้าคุณรู้สึกว่ามีอะไรเป็นก้อนๆ แสดงว่าต่อมน้ำเหลืองของคุณอาจมีอาการบวม
แล้วเมื่อไร? ควร ดีท๊อกซ์องค์รวม

1.คอยสังเกตอาการต่อมน้ำเหลืองโต.
บางครั้งต่อมน้ำเหลืองอาจบวมโตเนื่องจากอาการแพ้ ถ้าเป็นในกรณีนี้ ต่อมน้ำเหลืองมักจะกลับมาเป็นปกติภายใน 2-3 วัน แต่ถ้าต่อมน้ำเหลืองยังคงบวมโตไม่หายเป็นเวลาหลายวัน ควรรีบ Detox องค์รวม

2.ตรวจสอบอาการอื่นๆ ที่เกิดร่วมด้วย.
อาการต่อมน้ำเหลืองโตอาจเป็นสัญญาณว่าระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของคุณกำลังต่อสู้กับโรคร้ายแรงบางอย่าง จึงควรรีบ Detox องค์รวม ทันทีถ้าคุณมีอาการต่อมน้ำเหลืองโตร่วมกับอาการต่อไปนี้
– น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
– เหงื่อออกตอนกลางคืน
– เป็นไข้ติดต่อกันหลายวัน
– กลืนอาหารหรือหายใจไม่สะดวก

3.โรคที่เกี่ยวข้องกับอาการต่อมน้ำเหลืองโตที่พบได้บ่อยที่สุด มีดังนี้
– การติดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัส
– โรคทางระบบภูมิคุ้มกัน เช่น โรคลูปัสหรือข้ออักเสบ มะเร็งชนิดต่างๆ
สนใจรับข้อมูลเพิ่มเติมในการทำ Detox องค์รวม
ติดต่อ  โค้ชเกมส์ พิภัชกันต์ 
Tel : 092-645-4256
Line Id : kp156
หากบทความนี้มีประโยชน์รบกวนช่วยกดไลท์ หรือ แชร์ ด้วยครับ

วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ทำไม? เป็นเบาหวานถึงกินยาหนัก

ทำไม? คนเป็นโรคเบาหวานถึงรับประทานยาหลายอย่าง มารพ.รับยาครั้งนึง ถุงใหญ่มาก 





1 ยาเบาหวานมีหลายชนิด มีทั้งยาที่ออกฤทธิ์ลดน้ำตาลก่อนอาหาร ลดน้ำตาลขณะรับประทานอาหาร หรือออกฤทธิ์หลังอาหาร เรารับประทานยาหลายตัว เพราะต้องการให้ยาช่วยกันทำงาน ลดน้ำตาลให้ได้มากที่สุด
2 ยาป้องกันกล้ามเนื้อหัวใจหรือสมองขาดเลือด (แอสไพริน) ใช้ป้องกันในผู้เป็นเบาหวานสูงอายุ เนื่องจากอายุมากจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดหลอดเลือดอุดตัน
3 ยาป้องกันโปรตีนรั่วในปัสสาวะ (เป็นยาลดความดันโลหิต) หลายคนอาจสงสัยว่า ความดันก็ไม่สูง แต่ทำไมหมอให้ยาลดความดัน จริงๆ แล้ว หมอต้องการให้ยาช่วยลดโปรตีนรั่วในปัสสาวะต่างหาก 
4 ยาลดไขมันกลุ่ม statin ปัจจุบันมีข้อมูลว่ายาตัวนี้ดีมากๆ ออกฤทธิ์หลายอย่าง ป้องกันการอักเสบ ช่วยการทำงานของผนังเส้นเลือด 
5 ยาลดความดันโลหิต และยาลดไขมันในเส้นเลือด เมื่อเป็นเบาหวาน มักพบความดันและไขมันสูงด้วย เป็นโรคร่วมชะตากรรม มาคู่กันเสมอๆ
ดังนั้น จะเห็นว่า ยาเลยเยอะ เพราะน้ำตาลสูง ก่อให้เกิดผลเสียได้ทุกอวัยวะ จึงต้องมีการป้องกันการเกิดโรคอื่นๆ อีกมากมาย แต่การทานยาเยอะๆ ก็ส่งผลเสียกับร่างกายและเป็นบ่อเกิดโรคอื่นๆ อีกหลายโรคตามมา 
ลองดูว่า วงจรการเกิดโรคแทรกซ้อนของเบาหวาน เป็นบ่อเกิดโรคอะไรบ้าง
แต่ทั้งนี้เราสามารถที่จะฟื้นฟูร่างกายด้วยสารอาหารจำเป็นได้

วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2559

มวลกล้ามเนื้อ สำคัญและจำเป็น กับสุขภาพผู้สูงอายุกว่าที่คุณคิด

มวลกล้ามเนื้อ สำคัญกับสุขภาพผู้สูงอายุกว่าที่คุณคิด
การเคลื่อนไหว กับผู้สูงอายุ
ผู้สูงอายุทุกคน อยากใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ทำอะไรอย่างที่ตัวเองอยากทำ เดินเหินได้ปกติ แต่ทราบหรือไม่ว่า เมื่ออายุมากขึ้น คนเรามักจะเบื่ออาหาร กินได้น้อยลง จนอาจขาดสารอาหารบางอย่างโดยไม่รู้ตัว ส่งผลต่อสุขภาพ เช่น กล้ามเนื้อลีบลง เคลื่อนไหวช้าลง เหนื่อยง่าย ซึ่งอาการเหล่านี้ มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นแค่อาการชรา และปล่อยปละละเลย ทั้งๆที่จริงๆแล้ว หากได้รับการดูแลและเลือกอาหารที่เหมาะสม จะช่วยให้เสริมสร้างสุขภาพ เพิ่มรอยยิ้มและความสุขกลับมา เพราะสุขเหนือสิ่งอื่นใด คือมีสุขภาพที่ดี เรามาดูกันดีกว่าว่า มวลกล้ามเนื้อ สำคัญกับผู้สูงอายุอย่างไร และเราจะป้องกันอย่างไรให้ผู้สูงอายุเคลื่อนไหวได้ดีไปอีกนานๆ
ไม่ใช่แค่มวลกระดูกเท่านั้นที่ลดลง?
หลายคนคงทราบดีว่า เมื่ออายุมากขึ้น มวลกระดูกคนเราจะลดลง หลายคนจึงเร่งดูแลกิน แคลเซียม วิตามินดี แต่ทราบหรือไม่ว่า ไม่ใช่เพียงมวลกระดูกเท่านั้นที่จะค่อยๆ ลดลงไป แต่มวลกล้ามเนื้อที่หลายคนละเลย ไม่สนใจ ก็ลดลงไปเรื่อย ๆ เมื่ออายุมากขึ้นเช่นกัน และส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวม หากไม่เร่งดูแลและสะสมตั้งแต่ยังไม่เกิดโรคภัยไข้เจ็บ
มวลกล้ามเนื้อคืออะไร
มวลกล้ามเนื้อ ถ้าเรียกง่ายๆก็คือ น้ำหนักรวมของกล้ามเนื้อในร่างกายคนเรา และต้องทำความเข้าใจนิดนึงว่า มวลกล้ามเนื้อนี้ไม่ใช่น้ำหนักตัว บางคนน้ำหนักตัวเยอะ แต่กล้ามเนื้อน้อย แล้วไปเยอะที่ไขมันแทน จากผลงานวิจัยพบกว่า เมื่ออายุมากขึ้น ทุกคน ทุกเพศ จะมีมวลกล้ามเนื้อลดลงเรื่อยๆ ดังรูปด้านล่าง (ผลงานวิจัยกับคนที่มีสุขภาพปกติ 468 คน)
มวลกล้ามเนื้อที่ลดลง ส่งผลอย่างไรกับการเคลื่อนไหว และการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
เมื่ออายุมากขึ้น ส่วนสำคัญในการเคลื่อนไหวไม่ใช่แค่กระดูกไขข้อ แต่กล้ามเนื้อที่บังคับให้เคลื่อนไหวก็สำคัญไม่แพ้กัน การสูญเสียกล้ามเนื้อเมื่ออายุมากขึ้นอาจทำให้คนเราเคลื่อนไหวได้น้อยลง
นอกจากนี้ งานวิจัยยังพบว่า หากกล้ามเนื้อมีน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ร่างกายจะให้ความสำคัญกับการสร้างกล้ามเนื้อก่อนการซ่อมแซมบาดแผล ดังตารางด้านล่าง จะเห็นว่า หากมวลกล้ามเนื้อลดลงมากกว่า 20% ร่างกายจะเริ่มไม่ซ่อมแซมบาดแผล แต่จะไปสร้างกล้ามเนื้อแทน ทำให้เวลาบาดเจ็บก็หายช้า จากนั้นพอมวลกล้ามเนื้อลดลงมากกว่า 30% จะเริ่มลุกขึ้นนั่งไม่ได้ เป็นแผลกดทับ ร่างกายไม่รักษาบาดแผล แผลเรื้อรังไม่หาย อาหารที่กินเข้าไปไม่ช่วยซ่อมแซมร่างกาย
การป้องกัน และชะลอไม่ให้มวลกล้ามเนื้อลดลงเร็ว
อัตราการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อจะขึ้นอยู่กับ  3 ประการหลักๆ 
1.เราออกกำลังกายมากน้อยแค่ไหนตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมา นอกจากนี้ 
2. การเจ็บป่วยก็อาจจะส่งผลต่อการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อเช่นกัน 
3. การรับประทานโปรตีนคุณภาพดี เช่น เวย์โปรตีน เป็นประจำทุกวันจะช่วยชะลอการลดลงของมวลกล้ามเนื้อ ลูกหลานจึงควรใส่ใจให้พ่อแม่ 60+ ทานอาหารที่มีโปรตีนให้เพียงพอ หรือหากกินน้อย ก็ควรหาอาหารเสริมสำหรับผู้สูงอายุที่มีเวย์โปรตีนให้รับประทานเพิ่มเติม เพื่อให้ท่านเคลื่อนไหวทำสิ่งที่ท่านรักไปอีก นานๆ ชะลอการเสื่อมของร่างกายให้มีความสุขกะลูกหลานได้นานที่สุด
ทำไมต้อง เวย์โปรตีน กับผู้สูงอายุ

หลายคนเข้าใจผิดว่า เวย์โปรตีน คือโปรตีนที่เหมาะกับคนหนุ่มสาวที่เล่นกล้ามเท่านั้น จริงๆแล้วผู้สูงอายุนี่แหละที่ต้องการอย่างมาก เพราะเวย์โปรตีน เป็นโปรตีนที่สร้างกล้ามเนื้อได้ดี ยิ่งผู้สูงอายุที่ทานข้าวได้น้อย ไม่ค่อยทานเนื้อสัตว์เพราะเคี้ยวลำบาก ย่อยยาก ทำให้ได้รับโปรตีนน้อย กล้ามเนื้อจะยิ่งลีบลงเร็ว ส่งผลเสียต่อการเคลื่อนไหว
“ดังนั้น หากกินได้น้อย จึงควรกินโปรตีนที่คุณภาพดีอย่าง เวย์โปรตีน จะได้ประโยชน์สูงกว่าโปรตีนอื่นๆ”

แต่ไม่ใช่ว่าผลิตภัณฑ์เวย์โปรตีนสำหรับคนออกกำลังกายจะเหมาะกับผู้สูงอายุนะคะ ควรเป็นผลิตภัณฑ์ที่พัฒนามาเพื่อผู้สูงอายุโดยเฉพาะ ไม่เช่นนั้นปริมาณโปรตีนที่ไม่เหมาะสม อาจไม่สมดุลสำหรับผู้สูงวัย

ยิ่งไปกว่านั้น หากกินน้อยลง อาจจะไม่ใช่แค่ขาดโปรตีน แต่จะขาดสารอาหารชนิดอื่นๆด้วย เช่นขาดไขมันชนิดดีที่จำเป็น หรือขาดวิตามินเกลือแร่ต่างๆ จึงควรดื่มอาหารเสริมสำหรับผู้สูงอายุ ที่เรียกว่า “อาหารสูตรครบถ้วน” ทานระหว่างมื้ออาหารปกติ เติมพลังงานและสารอาหารทั้ง 5 หมู่ให้สมดุล ครบและเพียงพอต่อความต้องการในแต่ละวัน

เวลาเดินแล้วปวดน่อง ร่างกายกำลังส่งสัญญาณบอกอะไร?




“เวลาเดินไปสัก ๓๐-๔๐ เมตรจะมีอาการปวดน่อง ต้องหยุดสักพัก ค่อยเดินต่อได้ นึกว่าเป็นอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ได้กินยาคลายกล้ามเนื้อ ก็ไม่ดีขึ้น เป็นมาได้หลายเดือนแล้ว คุณคิดว่าอาการที่เป็นนี้เกิดจากโรคอะไร”


“อาการปวดน่องเวลาเดินและจะดีขึ้นเวลาพัก จนต้องคอยหยุดพักเป็นระยะๆ น่าจะเป็นเพราะหลอดเลือดแดงส่วนขาตีบ ทำให้เลือดไปเลี้ยงได้น้อยลง เวลาเดินกล้ามเนื้อต้องการเลือดไปเลี้ยงมากขึ้น เมื่อเลือดไปเลี้ยงได้ไม่เพียงพอ กล้ามเนื้อน่องจึงเกิดภาวะขาดเลือด เกิดอาการเจ็บปวดขึ้นทันที แต่เมื่อหยุดพัก กล้ามเนื้อก็ลดความต้องการเลือดที่ไปเลี้ยง ไม่เกิดภาวะขาดเลือด อาการเจ็บปวดก็ทุเลาไปได้ทันที” ผมอธิบาย “สาเหตุที่หลอดเลือดขาตีบน่าจะเกี่ยวกับความมีอายุมาก ร่วมกับน้ำหนักตัวมากเกิน และโรคเบาหวานที่รักษาได้ไม่เต็มที่”
ระบบหลอดเลือดหรือระบบไหลเวียนโลหิตซึ่งประกอบด้วยหัวใจ (ทำหน้าที่เหมือนเครื่องสูบน้ำ) กับเครือข่ายหลอดเลือด (เปรียบเหมือนระบบท่อประปา) มีหน้าที่นำเลือดที่มีออกซิเจน สารอาหารและสารที่จำเป็นไปเลี้ยงเนื้อเยื่ออวัยวะส่วนต่างๆ ทั่วร่างกาย 
ผู้ชายอายุมากกว่า ๕๕ ปี และผู้หญิงอายุมากกว่า ๖๕ ปี หลอดเลือดก็จะเริ่มเสื่อมตามสังขาร โดยผนังหลอดเลือดเริ่มแข็งและหนาตัวเนื่องจากมีไขมันไปเกาะตัวอยู่ภายในผนังหลอดเลือด 
ภาษาแพทย์เรียกว่า “ภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง” (atherosclerosis)
ภาษาชาวบ้านอาจเรียกว่า “ภาวะหลอดเลือดแดงมีตะกรันเกาะ” (คล้ายท่อประปาที่ใช้งานนานๆ เข้า มีตะกรันเกาะ ทำให้น้ำไม่ไหลหรือไหลได้อ่อน)
photogrid_1470706502653.jpg
สาเหตุเพราะ Nitric Oxide ที่ร่างกายผลิตออกมาได้นั้น ได้ลดลงไปตามวัย
Nitric Oxide คือ แก๊สจำเป็นชนิดหนึ่งที่ร่างกายเราผลิตเองได้ เป็นปัจจัยสำคัญของระบบเส้นเลือด ซึ่งระบบสุขภาพของคนเราต้องพึ่งพาในระยะยาว….
Nitric oxide เป็นโมเลกุลขนาดเล็ก ผลิตโดยเซลล์ที่บุผิวชั้นในของเส้นเลือด (endothelium) ที่อยู่ในกายของเรา ทำหน้าที่ควบคุมความดันของเลือด ควบคุมไม่ให้เกิด ก้อนเลือดที่เป็นเหตุให้เกิดการอุดตันของเส้นเลือดสมอง หัวใจ และเส้นเลือดแข็ง (artherosclerosis)
Nitric oxide จะเคลื่อนผ่านแผ่นเยื่อ membrane ด้วยคลื่นข้อมูลข่าวสารทางชีวภาพ ที่มีผลกระทบ ต่ออวัยวะทุกชนิดของร่างกาย เช่น ปอด ตับ กระเพาะ อวัยวะสืบพันธุ์ และ ไต
เมื่อร่างกายของคนเราสมบูรณ์ เส้นเลือดสมบูรณ์ และแน่นอน เซลล์ที่บุชั้นในของเส้นเลือดก็ย่อม สมบูรณ์ และสามารถสร้าง Nitric oxide ได้เต็มที่
Nitric Oxide ที่ร่างกายผลิตได้ในแต่ละช่วงอายุ
– ช่วงอายุ 20 ปี ร่างกายผลิตได้ 100 %
– ช่วงอายุ 30 ปี ร่างกายผลิตได้ 80 %
– ช่วงอายุ 40 ปี ร่างกายผลิตได้ 50 %
– ช่วงอายุ 50 ปี ร่างกายผลิตได้ 35 %
– ช่วงอายุ 60 ปี้นไป ร่างกายผลิตได้ 15 %
“อยากให้ร่างกายเรามี Nitric Oxide เราต้องรับประทานอาหารประเภทที่มี
L- Arginine เพื่อที่มันจะได้เปลี่ยนไปเป็นสาร Nitric oxide ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายมหาศาล”
คงไม่ต้องกล่าวนะว่า…ทำอย่างไร ร่างกายจึงจะสมบูรณ์ เมื่อเซลล์บุผิวของเส้นเลือด (endothelium) สมบูรณ์ มันก็สร้าง Nitric Oxide ออกมา และส่งให้ไหลเวียน ไปตามกระแสเลือด สู่อวัยวะทั่วร่างกาย
หาก “ตะกรัน” ที่เกาะค่อยๆ พอกพูนหนาตัวมากขึ้นจนท่อตีบ เลือดก็จะไปเลี้ยงเนื้อเยื่อต่างๆ ได้น้อยลงจนทำให้อวัยวะต่างๆ ขาดเลือดไปเลี้ยงและค่อยๆ เสื่อมหรือถูกทำลาย จนเกิดภาวะเจ็บป่วยต่างๆ ซึ่งครอบคลุมได้แทบทุกส่วนของร่างกาย ที่สำคัญ ได้แก่ 
 สมอง เมื่อขาดเลือด ทำให้เป็นอัมพาต อัมพฤกษ์ สมองเสื่อม ความจำเสื่อม
 หัวใจ เมื่อขาดเลือด ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรือโรคหัวใจขาดเลือด ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย (โรคหัวใจวายกะทันหัน)
 จอประสาทตา เมื่อขาดเลือด ทำให้ตามัว ตาบอด
 ไต เมื่อขาดเลือด ทำให้ไตเสื่อม ไตวาย
 ขา เมื่อขาดเลือด ทำให้ปลายเท้าชา เป็นตะคริวตอนดึก มีอาการปวดน่องเวลาเดินมาก
 องคชาต เมื่อขาดเลือด ทำให้องคชาตไม่แข็งตัว (นกเขาไม่ขัน)
   
ภาวะหลอดเลือดแดงแข็งอาจมีโอกาสเกิดได้มากขึ้นหรือเกิดได้เร็วขึ้นก่อนช่วงอายุดังกล่าว ถ้าคนคนนั้นมีปัจจัยเสี่ยง เช่น
 มีพ่อแม่หรือพี่น้องเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ สมอง และ/หรือหลอดเลือดส่วนอื่นตีบก่อนอายุ ๕๕ ปีในผู้ชาย หรือ ๖๕ ปีในผู้หญิง
 มีประวัติเป็นโรคเบาหวาน ความดันเลือดสูง ไขมันในเลือดสูงหรือผิดปกติ มีภาวะอ้วน (ดัชนีมวลกายมากกว่า ๓๐ กก./เมตร๒) สูบบุหรี่ หรือขาดการออกกำลังกาย
 มีประวัติเป็น “กลุ่มอาการเมตาบอลิก (metabolic syndrome)” หมายถึงเริ่มมีความผิดปกติของความดันเลือด น้ำตาลในเลือด และไขมันในเลือดในขั้นก้ำกึ่ง (ยังไม่สูงถึงเกณฑ์ที่ถือว่าเป็นโรค) รวมทั้งลงพุง โดยมีค่าผิดปกติอย่างน้อย ๓ ข้อใน ๕ ข้อต่อไปนี้
(๑) ความดันเลือดมีค่าเท่ากับ ๑๓๐/๘๕ มม.ปรอทหรือมากกว่า
(๒)  ระดับน้ำตาลในเลือดมีค่าเท่ากับ ๑๐๐ มก./ดล.หรือมากกว่า
(๓)  ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดมีค่าเท่ากับ ๑๕๐ มก./ดล.หรือมากกว่า
(๔) ระดับเอชดีแอลคอเลสเตอรอลในเลือดมีค่าต่ำกว่า ๔๐ มก./ดล.ในผู้ชาย หรือ ๕๐ มก./ดล.ในผู้หญิง
(๕)  เส้นรอบเอวมีค่าเท่ากับ ๘๐ ซม.ในผู้หญิง หรือมากกว่า ๙๐ ซม.ในผู้ชาย หรือมากกว่า       ยิ่งมีปัจจัยเสี่ยงมากอย่างเท่าไรก็ยิ่งมีโอกาสเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งมากขึ้นเท่านั้น ดังเช่นกรณีของคุณลุงที่มีอายุมาก (เกือบ ๗๐ ปี) ร่วมกับเป็นเบาหวาน และน้ำหนักเกิน ถ้าหากมีประวัติสูบบุหรี่ ความดันเลือดสูง และ/หรือไขมันในเลือดสูง ก็ยิ่งเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งได้มากขึ้นหรือเร็วขึ้น
การดูแลหลอดเลือดแดงให้ดี คือ ป้องกันไม่ให้เสื่อมเร็วหรือเสื่อมมาก จึงมีส่วนช่วยให้มีชีวิตยืนยาวได้
ดังนั้น เราจึงควรเรียนรู้วิธีดูแลหลอดเลือดตนเอง โดยหลีกเลี่ยงหรือควบคุมปัจจัยเสี่ยง ยกเว้นปัจจัยด้านอายุและพันธุกรรมซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา
ในการดูแลหลอดเลือดไม่ให้เสื่อมเร็ว สามารถปฏิบัติได้ดังนี้
 ไม่สูบบุหรี่
 ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
 ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ ๕ วัน
 กินอาหารสุขภาพโดยเน้นธัญพืช ผัก ผลไม้ให้มากๆ กินโปรตีนจากปลา ถั่วต่างๆ เต้าหู้ ไข่ นมพร่องไขมัน ลดเนื้อแดง (หมู วัว) ลดไขมัน น้ำตาลและของหวาน
 ตรวจเช็กสุขภาพ หากพบว่าเป็นเบาหวาน ความดันเลือดสูง ไขมันในเลือดสูงหรือผิดปกติ ก็รู้จักดูแลรักษาจนสามารถควบคุมได้ดีอย่างต่อเนื่อง
แล้วเราจะหา L-Arginine ที่จะช่วยกระตุ้น Nitric Oxide ทานได้จากไหน?

จะทำอย่างไร? เมื่อร่างกายรับแคลเซียมมากเกินไป

แคลเซียมมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นด้วยไฟฟ้าของเซลล์หัวใจและการหดตัวทางกลของเซลล์กล้ามเนื้อเรียบในการร้องไห้ของหลอดเลือดแดง

แคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นต่อสุขภาพ แต่ก็ถือเป็นอันตรายที่ซ่อนอยู่ที่จะนำเราไปหลุมฝังศพของเราเร็วมากแล้วเราจะชอบ แคลเซียมเป็นสารอาหารที่ส่งเสริมการลงทุนมากที่สุดโดยการเสนอของการชุมนุมทางโภชนาการและการแพทย์ทางเลือก นี่คือความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่และน่าเศร้า พวกเขาควรจะได้รับการส่งเสริมแมกนีเซียม ขาดแมกนีเซียมนำไปสู่การเพิ่มขึ้นในระดับของกล้ามเนื้อหัวใจของทั้งสองโซเดียมและแคลเซียม ปัญหานี้เป็นปัญหาเพราะแคลเซียมหลอดเลือดหัวใจเป็นทำนายระยะใกล้หัวใจเหตุการณ์โรคหัวใจ. ในหน้าของการเจริญเติบโตของแคลเซียมแมกนีเซียมบกพร่องจะกลายเป็นมากขึ้นมากขึ้นเป็นพิษต่อสรีรวิทยาของมนุษย์
ดร. คณบดีทำให้เห็นได้ชัดนี้เมื่อเธอบอกว่าในหนังสือของเธอแมกนีเซียมมิราเคิล “เพื่อทำความเข้าใจวิธีการที่คุณสามารถสร้างความไม่สมดุลของแคลเซียม / แมกนีเซียมในร่างกายของคุณเองลองทดลองนี้ในห้องครัวของคุณ Crush ยาแคลเซียมและดูวิธีการมากละลายใน 1 ออนซ์ของน้ำ แล้วบดขยี้เม็ดแมกนีเซียมและค่อยๆกวนมันลงไปในน้ำแคลเซียม เมื่อคุณแนะนำแมกนีเซียมแคลเซียมที่เหลือละลาย; มันจะกลายเป็นมากขึ้นที่ละลายน้ำได้ สิ่งเดียวกันที่เกิดขึ้นในกระแสเลือด, หัวใจสมองไตและเนื้อเยื่อของคุณทั้งหมดที่อยู่ในร่างกายของคุณ หากคุณไม่ได้มีแมกนีเซียมมากพอที่จะช่วยให้แคลเซียมละลายคุณอาจจบลงด้วยแคลเซียมส่วนเกินกล้ามเนื้อกระตุก fibromyalgia แข็งของหลอดเลือดแดงและแม้กระทั่งฟันผุ สถานการณ์อื่นเล่นออกมาในไต หากมีแคลเซียมมากเกินไปในไตและไม่มีแมกนีเซียมมากพอที่จะละลายคุณจะได้รับนิ่วในไต. “
แมกนีเซียมและแคลเซียม ทำงานร่วมกันในการควบคุมการกระทำของกล้ามเนื้อแม้ว่าแคลเซียมกลายเป็นปัญหาเมื่อไม่มีแมกนีเซียมมากพอที่จะควบคุมการกระทำของแคลเซียม แคลเซียมจะกลายเป็นยาพิษช้ากระทำ (มักทศวรรษที่ผ่านมาของการสร้างขึ้นไป) ไปยังเนื้อเยื่อทั่วร่างกายเมื่ออยู่ในญาติส่วนเกินที่จะขาดแมกนีเซียมใน อาการแร่ธาตุส่วนเกินหรือขาดขึ้นอยู่กับอัตราส่วนของพวกเขาเพื่อองค์ประกอบอื่น ๆ ในกรณีของการกลายเป็นปูนก็ไม่ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับสูงแคลเซียมที่ให้ผลในการก่อตัวของหินหรือเดือย แต่แคลเซียมสูงในการเป็นอัตราส่วนแมกนีเซียม
แมกนีเซียมเพิ่มการละลายของแคลเซียมในปัสสาวะ เสริมแมกนีเซียมที่จะรับประทานอาหารได้แสดงให้เห็นผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญในการป้องกันการกลับเป็นซ้ำของโรคนิ่วในไต
แคลเซียมถ้าไม่ได้ถ่ายด้วยแมกนีเซียมหรือถ้ามันไม่ได้ดูดซึมมากก็จะทำให้เกิดอันตรายมากกว่าดี.  แคลเซียม unabsorbed สามารถยื่นได้ทุกที่ในร่างกายของเรา.สำหรับกรณีถ้ามันบ้านพักในกระดูกและข้อต่อของคุณก็เลียนแบบโรคข้ออักเสบ; ถ้ามันบ้านพักในหัวใจคุณก็เลียนแบบแผลเลือดแดง กลายเป็นปูนหรือแคลเซียมเป็นพิษสามารถประจักษ์เป็นโรคหัวใจโรคมะเร็งผิวหนังเหี่ยวย่น, นิ่วในไตโรคกระดูกพรุนปัญหาทางทันตกรรม, สเปอร์สกระดูก, ต้อกระจกและปัญหาสุขภาพอื่น ๆ อีกมากมาย เงินฝากแคลเซียมในข้อต่อจะเรียกว่าโรคข้ออักเสบ; ในเส้นเลือดมันเป็นแข็งของหลอดเลือดแดง; ในหัวใจมันเป็นโรคหัวใจและในสมองมันเป็นความชรา
มันเป็นแมกนีเซียมที่จริงการควบคุมความหนาแน่นของกระดูกแคลเซียมไม่ ไดรฟ์แมกนีเซียมแคลเซียมเข้าไปในกระดูกที่อยู่ในระดับต่ำกระตุ้นให้เกิดการสูญเสียของมัน
ผู้ปฏิบัติงานด้านการดูแลสุขภาพไม่กี่เหลือเกินในโลกได้เรียนรู้มากเกี่ยวกับยาแมกนีเซียมเพื่อให้พวกเขาไม่ทราบว่าจะเลิกแคลเซียมและเริ่มต้นการรักษาแมกนีเซียมเข้มข้น หลังจากหลายทศวรรษของการตลาดผลักดันอุตสาหกรรมนมแคลเซียมเรามีสถานการณ์ที่แท้จริงฆ่าผู้คนนับล้าน ใครก็ตามที่ต้องการจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไปควรให้ความสนใจกับเรื่องแมกนีเซียมและทันทีที่ควรเริ่มต้นการรักษาที่แข็งแกร่งและเป็นเวลานานด้วยแมกนีเซียมคลอไรด์ในรูปแบบของมัน แมกนีเซียมคลอไรด์เป็นส่วนใหญ่ที่หลากหลาย, การดูดซึมและมีประสิทธิภาพในรูปแบบของแมกนีเซียมและสามารถนำมาใช้รับประทาน transdermally และผ่าน IV หยด มันยังสามารถ nebulized โดยตรงเข้าไปในปอดและในรูปแบบเจือจางมากลดลงในสายตาเมื่อรูปแบบบริสุทธิ์ของตนถูกนำมาใช้
ในขณะที่แคลเซียมมีผลต่อการหดตัวของกล้ามเนื้อยอดแมกนีเซียมที่มีผลและผ่อนคลายกล้ามเนื้อ แคลเซียมกระชับกล้ามเนื้อ;แมกนีเซียมช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ด้วยแมกนีเซียมไม่เพียงพอกล้ามเนื้ออยู่เครียดและปีที่ผ่านมาอาจทำให้เกิดตะคริวในกล้ามเนื้อ ซึ่งอาจเกิดขึ้นเมื่อคุณมีแคลเซียมมากเกินไปหรือน้อยเกินไปแมกนีเซียม แคลเซียมมากเกินไปทำให้เกิดการเต้นของหัวใจที่จะเข้าไปในกล้ามเนื้อกระตุกและมันไม่สามารถผ่อนคลาย นี่คือหัวใจวาย ได้รับแมกนีเซียมบางอย่างในร่างกายและหัวใจช้าจะเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติยกเว้นในกรณีที่ความเสียหายใหญ่ได้ทำไปแล้ว เพิ่มไอโอดีนและซีลีเนียมและเรามีเงินเดือนของสูตรที่เหมาะที่จะสนับสนุนการฟื้นตัวและการฟื้นฟูเนื้อเยื่ออาจได้เล็ก ๆ น้อย ๆ
ในฐานะที่เราจะเห็นในอีกบทหนึ่งนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่มีอยู่แล้วการสร้างแพทช์หัวใจทำจากวัชพืชทะเลและจะเห็นทั้งเลือดและเนื้อเยื่อหัวใจการเจริญเติบโตและการปฏิรูปเข้าไปในแพทช์ สาหร่ายเพิ่งเกิดขึ้นเป็นที่สูงในแมกนีเซียมไอโอดีนและซีลีเนียม เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้จะทุ่มเทให้กับพิษปรอทและแนวโน้มของมันที่จะกระจุกตัวอยู่ในเนื้อเยื่อหัวใจ ซีลีเนียมเป็นยาแก้พิษปรอทและสารไอโอดีนเผยอีกหนึ่งความลับของเธอเมื่อมันมาถึงการดูแลหัวใจ
ภาพ
ลักษณะของการกลายเป็นปูนตับ ฟอน Kossa (แผงบน), S สีแดง Alizarin 
(แผงกลาง) และ Goldner-Masson trichrome (แผงล่าง) การย้อมสีของ
เซี่ยม, precalcified และ noncalcified ส่วนเนื้อเยื่อตับ แผงด้านบนสีดำ
ย้อมสีบ่งบอกถึงการปรากฏตัวของตะกอนฟอสเฟต แผงกลางสีเทาเข้ม
ย้อมสีบ่งบอกถึงการปรากฏตัวของ Ca2 + จะเกิดการตกตะกอน แผงด้านล่างสีเทาอ่อน
ย้อมสีบ่งบอกถึงการปรากฏตัวของคอลลาเจน กำลังขยาย 20
ไม่มียาเสพติดในตลาดเพื่อลดเงินฝากแคลเซียมแมกนีเซียมคลอไรด์ แต่และโซเดียมไธโอซัลเฟตมีประโยชน์ในการป้องกันและรักษาแคลเซียมไม่พึงประสงค์ พวกเขาช่วยกันนำเสนอวิธีที่ดีที่สุดของการต่อสู้กับระเบิดครั้งแคลเซียมไปอย่างเงียบ ๆ และค่อย ๆ ปิดในล้านไม่ได้นับคน วิธีที่ดีที่สุดในการติดตามความเป็นพิษแคลเซียมเป็นจริงผ่านมองในระดับของการขาดแมกนีเซียมสำหรับการควบคุมแมกนีเซียมและแคลเซียมต่อต้าน เฉลี่ยของชาวอเมริกันกินเพียงร้อยละ 40 ของเบี้ยเลี้ยงแนะนำของแมกนีเซียม นี้มีผลกระทบอย่างรุนแรงรวมถึงการตายในหลาย ๆ คนตามที่ผู้เชี่ยวชาญแมกนีเซียมดร. มิลเดรด Seelig แปดสิบถึงร้อยละ 90 ของประชากรสหรัฐเป็นแมกนีเซียมขาด
กลายเป็นปูนประกอบด้วยแคลเซียมและฟอสฟอรัสและเป็นกระบวนการปกติสำหรับการสร้างกระดูกและฟันที่แข็งแรง แต่มันก็ยังมีบทบาทสำคัญในสภาวะโรคเช่นจังหวะและหัวใจวาย
ดร. เอชเรย์ Evers เขียน “โรงไฟฟ้าของเซลล์ของมนุษย์เรียกว่า” mitochondrion. “การ mitochondrion คือสิ่งที่สร้างพลังงานสำหรับเซลล์ที่จะใช้ สิ่งที่ทุกคนหมายถึงว่า “พลังงาน” มาจากการลดลงของการเกิดออกซิเดชันของการหายใจของเซลล์ นี้จะกระทำผ่านที่ mitochondria แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อเซลล์อยู่ในระดับต่ำในแมกนีเซียมเทียบกับแคลเซียม. triphosphate Adenosine ที่ “สกุลเงินพลังงาน” ของเซลล์เป็นแมกนีเซียมขึ้น. ซึ่งหมายความว่ามันเป็นที่ชัดเจนว่าปั๊มแคลเซียมที่เยื่อหุ้มเซลล์ยังเป็นแมกนีเซียมขึ้นโดยไม่พอ “ทางชีวภาพ” แมกนีเซียมแคลเซียมปั๊มมือถือช้าลง ดังนั้นวงจรที่จะจัดตั้งขึ้น ระดับของแมกนีเซียมต่ำใช้ได้ยับยั้งการสร้างพลังงานและระดับต่ำของพลังงานยับยั้งการปั๊มแคลเซียม ผลลัพธ์ที่ได้? mitochondrion โรงไฟฟ้าของเซลล์และร่างกายทั้งหมดกลายเป็นจนใจ นี่คือจุดเริ่มต้นของริ้วรอย.ทุกอย่างเริ่มต้นในเซลล์ ครั้งแรกอายุเซลล์ นี้นำไปสู่การเสื่อมสภาพของอวัยวะ และหลังจากอายุอวัยวะริ้วรอยที่เกิดขึ้นของแต่ละบุคคล ตั้งแต่แคลเซียมสะสมได้อย่างง่ายดายโดย mitochondria ไอออนนี้อาจเป็นความสามารถในการขุ่นข้องหมองใจอิทธิพลการเปิดใช้งานของแมกนีเซียมในหลายปฏิกิริยาเอนไซม์ภายในยล ซึ่งหมายความว่าการทำงานของร่างกายของคุณทุกคนสามารถถูกยับยั้งเมื่อกลายเป็นปูนที่ mitochondria.มันเหมือนจะผ่านชีวิตที่มีเบรกฉุกเฉินบน แคลเซียมเป็นเบรก แมกนีเซียมเป็นคันเร่ง ที่จะอยู่ในสุขภาพที่ดีที่สุดจะต้องมีความสมดุลระหว่างสอง. “
โปรตีนที่คุณบริโภคแมกนีเซียมเพิ่มเติมเป็นสิ่งจำเป็นที่สูงขึ้น เมื่อจำนวนมากที่มีการบริโภคแคลเซียม, แมกนีเซียมที่คุณต้องการมากขึ้น. อาหารที่มีแคลเซียมสูงเพิ่มความต้องการของร่างกายสำหรับแมกนีเซียม.– ดร. เอชเรย์ Evers
สูงกว่าระดับแคลเซียมและต่ำกว่าระดับแมกนีเซียมในน้ำเสริมโทรศัพท์มือถือที่ยากก็คือสำหรับเซลล์ที่จะปั๊มแคลเซียมออกMitochondria ผลิตพลังงานเซลล์และอวัยวะของเราต้องการ นี้เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับหัวใจเพราะเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจมีความต้องการที่ไม่สิ้นสุดสำหรับพลังงาน Mitochondria ยังมีความสำคัญสำหรับ neurotransmission ที่เหมาะสมและมีความเข้มข้นสูงในเซลล์ของสมองและระบบประสาทส่วนกลาง. เซลล์ที่มีสุขภาพดีมีแมกนีเซียมสูงและระดับแคลเซียมต่ำ
ภาพ
calcifying อนุภาคนาโน (CNPs) รูปแบบการเจริญเติบโตช้าจนใจอาณานิคม
ในหลอดเลือดและอวัยวะมากในทางเดียวกับรูปแบบแนวปะการัง
เราอาจกล่าวได้ว่าอายุชีวเคมีของเราจะถูกกำหนดโดยอัตราส่วนของแมกนีเซียมแคลเซียมภายในเซลล์ของเรา ขณะที่เราอายุเงินฝากแคลเซียมมีแนวโน้มที่จะสะสมในเนื้อเยื่ออ่อนของเรา แพทย์เรียกว่า “พิเศษโครงเหล็กแคลเซียม.” ซึ่งหมายความว่าแคลเซียมที่ควรจะนำมาฝากกันในกระดูกของคุณจะถูกอาศัยอยู่ในเนื้อเยื่ออ่อนของเรา
ได้ถึง 30% ของการใช้พลังงานของเซลล์ที่ใช้ในการปั๊มแคลเซียมออกจากเซลล์
ขาดแมกนีเซียมนอกเหนือจากที่มีผลกระทบต่อการเดินการผลิตพลังงานที่จำเป็นโดย mitochondria ในการสร้างเอทีพียังช่วยลดความจุเกณฑ์การต้านอนุมูลอิสระของระบบหัวใจและหลอดเลือดและความต้านทานต่อความเสียหายอนุมูลอิสระ. การกระทำแมกนีเซียมเป็นสารต้านอนุมูลอิสระต่อต้านอนุมูลอิสระ ของที่ mitochondria
แมกนีเซียมได้รับการเรียกของธรรมชาติ “ช่อง Blocker แคลเซียม” เพราะความสามารถในการป้องกันไม่ให้หลอดเลือดกล้ามเนื้อกระตุกภาวะและลดความดันโลหิต
“แคลเซียมเข้าสู่เซลล์ของหัวใจโดยวิธีการของช่องแคลเซียมที่มีการรักษาความอิจฉาริษยาโดยแมกนีเซียม แมกนีเซียมที่มีความเข้มข้น 10,000 ครั้งยิ่งใหญ่กว่าที่ของแคลเซียมในเซลล์ช่วยให้เพียงจำนวนหนึ่งของแคลเซียมที่จะเข้าสู่การสร้างการส่งสัญญาณไฟฟ้าที่จำเป็นและจากนั้นทันทีจะช่วยให้สามารถดึงแคลเซียมเมื่อทำงานจะทำ ทำไม? ถ้าแคลเซียมสะสมอยู่ในเซลล์จะทำให้ hyperexcitibility และ Calci? ไอออนบวกและขัดขวางการทำงานของเซลล์ที่นำไปสู่โรคหลอดเลือดหัวใจตีบความดันโลหิตสูงหัวใจเต้นผิดจังหวะ, โรคหอบหืด, ปวดหัวและแม้กระทั่งการโจมตีหัวใจ แมกนีเซียมแคลเซียมแชนแนลบล็อกเกอร์ของธรรมชาติ “ดร. แคโรลีนคณบดีผู้เขียนของแมกนีเซียมมิราเคิลกล่าวว่า
ดร. แกร์รีกอร์ดอนเขียนไว้ว่า “ถ้าคุณได้ทำลายเยื่อหุ้มเซลล์หรือการผลิตเอทีพีต่ำด้วยเหตุผลใด ๆ แล้วมือถือมีปัญหาในการรักษาความลาดปกติ เพราะนี่คือการไล่ระดับสีตามปกติคือแคลเซียม 10,000 ครั้งขึ้นไปด้านนอกของเซลล์ภายในกว่า; เมื่อนี้ถูกบุกรุกคุณจะได้เพิ่มแคลเซียมภายในเซลล์ซึ่งดูเหมือนว่าจะเคยเกิดขึ้นในช่วงเวลาแห่งความตาย เมื่อใดก็ตามที่มีแคลเซียมภายในเซลล์จะถูกยกระดับคุณมีญาติขาดแมกนีเซียมดังนั้นเมื่อมีใครป่วยหนักเฉียบพลันหรือเรื้อรังส่วนหนึ่งของแผนของคุณจะต้องที่จะเรียกคืนแมกนีเซียมซึ่งจะถูกดูดซึมได้ไม่ดีด้วยวิธีการในช่องปาก. “
ภาพ
ค่าเลือดที่เหมาะสมที่สุดสำหรับวิตามินดี
เป็น 45-52 ng / ml (115-128 นาโนโมล / ลิตร)
ผลกระทบของปริมาณแคลเซียมมากเกินไปอาจรวมถึงระดับแคลเซียมในเลือดสูง, การก่อนิ่วในไตและภาวะแทรกซ้อนที่ไต. [1]ระดับแคลเซียมสูงที่เกี่ยวข้องยังมีข้อต่ออักเสบ / ร่วมกันและหลอดเลือดเสื่อมสภาพกลายเป็นปูนของเนื้อเยื่ออ่อน, ความดันโลหิตสูงและโรคหลอดเลือดสมองและการเพิ่มขึ้นใน ไตรกลีเซอไรด์ VLDL รบกวนระบบทางเดินอาหารอารมณ์และโรคซึมเศร้าอ่อนเพลียเรื้อรังและความไม่สมดุลของแร่ทั่วไปรวมทั้งแมกนีเซียมสังกะสีเหล็กและฟอสฟอรัส.  ระดับแคลเซียมสูงยุ่งเกี่ยวกับวิตามิน D และต่อมายับยั้งโรคมะเร็งการป้องกันผลกระทบวิตามินเว้นแต่จำนวนที่เพิ่มขึ้นของวิตามิน D มีการเสริม . [2]
วิตามิน D ทำงานโดยการลดความต้านทานต่ออินซูลินซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญในการเกิดโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังใช้โดยต่อมธัยรอยด์ซึ่งจะหลั่งฮอร์โมนที่ควบคุมระดับของร่างกายของแคลเซียมซึ่งในรอบช่วยควบคุมความดันโลหิต
แผลกลายเป็นปูนหัวใจและหลอดเลือดสามารถนำไปสู่การพัฒนาของ ischaemia เนื้อหัวใจกล้ามเนื้อหัวใจตาย, ฟังก์ชั่นของกล้ามเนื้อหัวใจลดโรคหัวใจล้มเหลวไม่เพียงพอวาล์วการเต้นของหัวใจและหัวใจเต้นผิดจังหวะ มีความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งระหว่างแคลเซียมการเต้นของหัวใจที่เพิ่มขึ้นและความเสี่ยงของการเสียชีวิต. คือการบริหารงานของวิตามินดีในการรักษารอง Hyper-parathyroidism เพิ่มการดูดซึมในลำไส้ของแคลเซียมและฟอสฟอรัส มันจะเพิ่มแคลเซียมในซีรั่มและระดับฟอสฟอรัส เนื้อเยื่ออ่อนและแคลเซียมหลอดเลือดมีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของวิตามินดีบำบัด. [3]
การเปลี่ยนแปลงในซีรั่มแคลเซียมจะให้ข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับการรบกวนฮอร์โมนหรือสารอินทรีย์ต่าง ๆ รวมทั้งสถานะวิตามินดีมากเกินไป
แมกนีเซียมและแคลเซียมแบ่งปันเส้นทางที่พบบ่อยของการดูดซึมในทางเดินลำไส้และดูเหมือนจะมีผลปราบร่วมกันในแต่ละอื่น ๆ ถ้าปริมาณแคลเซียม (หรือการบริโภคนม) เป็นที่สูงผิดปกติแคลเซียมจะถูกดูดซึมในการตั้งค่าแมกนีเซียม นอกจากนี้ในปริมาณที่มากเกินไปของวิตามิน D และแคลเซียมสามารถทำให้เกิดการสูญเสียแมกนีเซียมไต.แสงแดดเป็นเพียงวิธีที่ปลอดภัยที่จะได้รับวิตามินดีเนื่องจากร่างกายควบคุมเท่าใดจะทำ เอาไปโดยใช้รูปแบบยาเม็ดและแคลเซียม homeostasis แทนที่ ความคิดทั้งหมดของครีมกันแดดที่เป็นพิษและการหลีกเลี่ยงผลกระทบชีวิตให้ดวงอาทิตย์ (ธรรมชาติวิตามิน D ก่อ) เป็นเพียงความผิดพลาดอีกหนึ่งยาแผนปัจจุบันคือการทำให้
นักวิจัยจากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย Winthrop นีโอลานิวยอร์กพบว่าการให้อาหารเสริมวิตามินดีให้กับกลุ่มอาสาสมัครลดลงตอนของการติดเชื้อหวัดและไข้หวัดใหญ่โดยร้อยละ 70 กว่าสามปี
อันตรายจากแสงแดดได้รับการโอ้อวดอย่างมากโดยประเภทเดียวกันของคนที่เหนือเกินจริงและโกหกเกี่ยวกับหลายสิ่งหลายอย่างในการแพทย์ แสงแดดไม่ได้เป็นเหตุผลหลักที่คนเป็นโรคมะเร็งผิวหนัง นักวิจัยชี้ให้เห็นว่าระดับที่เพิ่มขึ้นของวิตามิน D3 สามารถป้องกันโรคต่างๆที่อ้างว่าหลายร้อยหลายพันถ้าไม่นับล้านคนทั่วโลกในแต่ละปี วิตามิน D วิตามินแสงแดดจะแตกต่างจากวิตามินอื่น ๆ ในการที่จะมีอิทธิพลต่อทั้งร่างกายของคุณ – รับที่ตอบสนองต่อวิตามินที่ได้รับพบได้ในเกือบทุกประเภทของเซลล์ของมนุษย์จากสมองไปยังกระดูกของเรา
แมกนีเซียมเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการทำงานปกติของต่อมพาราไธรอยด์และวิตามินดีการเผาผลาญอาหาร
ภาพ
แคลเซียมหลอดเลือดหัวใจเป็นปกติอย่างรุนแรงและมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับโรคหัวใจและหลอดเลือดตีบในผู้ใหญ่ระยะสุดท้ายผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง. [4]ปริมาณของแคลเซียมในหลอดเลือดหัวใจน่าเชื่อถือคาดการณ์ความเสี่ยงโรคหัวใจและวัดจากสิ่งที่เรียกว่าคนแคลเซียม คะแนน. ยูซีแอลโรคหัวใจ, ดร. แมตต์ Budoff แชมป์เป็นเวลานานของสแกนแคลเซียมหลอดเลือดหัวใจและเขียนกระดาษ AHA กล่าวว่า “จำนวนเงินรวมของแคลเซียมหลอดเลือดหัวใจ (Agatston คะแนน) คาดการณ์เหตุการณ์ที่เกิดโรคหลอดเลือดเกินมาตรฐานปัจจัยเสี่ยง.” หลอดเลือด คะแนนแคลเซียมเป็นเครื่องมือเชิงปริมาณที่แม่นยำในการวัดและการติดตามความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ มันมีคุณค่ามากขึ้นและถูกต้องกว่าเครื่องหมายแบบดั้งเดิมอื่น ๆ (เช่นคอเลสเตอรอลรวมซึ่งเป็นไร้ค่าจริงเป็นเครื่องหมายความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ)
ภาพ
ภาพนี้แสดงให้เห็นถึงแคลเซียมหลอดเลือดหัวใจ
ตามที่มหาวิทยาลัยฟลอริดาเงื้อมมือศูนย์มะเร็งระดับสูงของแคลเซียมในเลือดที่เรียกว่า hypercalcemia, [5]อาจจะกลายเป็นเหตุฉุกเฉินทางการแพทย์ ความผิดปกตินี้เกิดมากที่สุดจากโรคมะเร็งหรือโรคพาราไทรอยด์ แต่อยู่ภายใต้สาเหตุหลักคือการขาดแมกนีเซียมhypercalcemia มาประกอบกันทั่วไปในการรักษาโรคมะเร็ง hypercalcemia รุนแรงเป็นเหตุฉุกเฉินทางการแพทย์ที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ถ้าระดับแมกนีเซียมจะถูกนำขึ้นมาเป็นปกติ
แมกนีเซียมเป็นแร่ธาตุของการฟื้นฟูและป้องกันไม่ให้กลายเป็นปูนของอวัยวะและเนื้อเยื่อของเราที่เป็นลักษณะของเก่าอายุเสื่อมที่เกี่ยวข้องกับร่างกายของเรา
แมกนีเซียมไม่เพียงพอรบกวนกับการเผาผลาญของเซลล์และเร่งการเสื่อมของเนื้อเยื่อของมนุษย์มากที่สุด เซลล์ของมนุษย์ส่วนใหญ่สามารถทำซ้ำ จำกัด จำนวนครั้งในวัฒนธรรมก่อนที่พวกเขาจะสูญเสียความสามารถในการแบ่งปรากฏการณ์ที่เรียกว่าชราภาพ replicative การศึกษาล่าสุดได้แสดงให้เห็นว่าวัฒนธรรมแมกนีเซียมต่ำเร่งการเสื่อมสภาพของเซลล์บุผนังหลอดเลือดของมนุษย์และเซลล์ได้. [6]ดร. เจมส์ Howenstein ว่า “แคลเซียมในเนื้อเยื่อโทรศัพท์มือถือเป็นสัญญาณของความเสียหายของเนื้อเยื่อริ้วรอยโทรศัพท์มือถือและการตายของเซลล์ที่กำลังจะมา เมื่อเซลล์ไม่สามารถที่จะควบคุมแคลเซียมและให้ปริมาณแคลเซียมของเซลล์เสื่อมสภาพการทำงานของเซลล์ หลอดเลือดแดงจนใจ, แคลเซียมในเนื้อเยื่ออ่อนและระดับสูงของแคลเซียมภายในเซลล์เป็นสัญญาณทั้งหมดของริ้วรอย ตอนอายุ 80 ปริมาณแคลเซียมโดยเฉลี่ยในหลอดเลือดแดงใหญ่ 140 ครั้งยิ่งใหญ่กว่าระดับของแคลเซียมหลอดเลือดที่ระบุไว้ตอนอายุ 40 “
ภาพ
อายุ 20-30 yearsAge 50-70 ปี
ในวัยหนุ่มที่ด้านซ้ายมีการสะสมคราบจุลินทรีย์น้อยที่สุด แต่ที่ด้านขวาด้วยเนื้อเรื่องของเวลาคราบจุลินทรีย์เติบโตขนาดใหญ่. เกี่ยวกับ 20 ของปริมาณการมอบโล่ประกาศเกียรติคุณนี้% มีแคลเซียมซึ่งเป็นวัดได้สแกน CAT ให้เครื่องหมายสำหรับภาระคราบจุลินทรีย์ทั้งหมดกลายเป็นปูนของรอยโรค atherosclerotic เป็นเพราะกระบวนการของการสะสมของแคลเซียมที่ใช้งานใน atherosclerotic โล่ที่ใช้เผาผลาญเซลล์คล้ายกับที่พบในกระดูกของมนุษย์ปกติ แคลเซียมสะสมอย่างต่อเนื่องในคราบจุลินทรีย์และการแสดงตนเป็นที่ตรวจสอบได้ผ่านการตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จากขั้นตอนมากในช่วงต้นของการก่อโรค มีสะสมของหินปูนในหลอดเลือดแดงหมายถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคหัวใจและการเสียชีวิตจากโรคหัวใจตามผลการวิจัยจากการศึกษาหลายเชื้อชาติของหลอดเลือด (MESA) ได้รับทุนจากหัวใจแห่งชาติปอดและเลือดสถาบัน นักวิจัยที่มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียระบบสุขภาพแนะนำว่าองค์ประกอบของเงินฝากหินปูนในหลอดเลือดแดง carotid บ่งชี้ความเสี่ยงของผู้ป่วยที่มีโรคหลอดเลือดสมอง
อัตราส่วนของแคลเซียมแมกนีเซียมในนม 9 หรือ 10 ต่อ 1 แคลเซียมเป็นพันธมิตรทางสรีรวิทยาของแมกนีเซียมและควรจะนำเสนอใน 2: 1 หรือแม้กระทั่งอัตราส่วน 1: 1
ผู้หญิงอเมริกันได้รับการบริโภคเฉลี่ยของสองปอนด์ของนมต่อวันสำหรับชีวิตทั้งหมดของพวกเขายัง 30,000,000 ผู้หญิงอเมริกันมีโรคกระดูกพรุน การดื่มนมไม่ได้ป้องกันการสูญเสียมวลกระดูก การสูญเสียกระดูกจะเร่งโดยการกินโปรตีนมากเกินไปและนมได้รับการเรียกว่า “เนื้อของเหลว.” เพื่อที่จะดูดซับแคลเซียมที่ร่างกายต้องการในปริมาณที่เปรียบของแมกนีเซียม ประเทศที่มีอัตราที่สูงที่สุดของโรคกระดูกพรุนเช่นสหรัฐอเมริกาอังกฤษและสวีเดนกินนมมากที่สุด จีนและญี่ปุ่นที่คนกินโปรตีนมากน้อยและอาหารนมมีอัตราที่ต่ำของโรคกระดูกพรุน. [7]โปรตีนเพิ่มการผลิตกรดในเลือดซึ่งสามารถเป็นกลางโดยแคลเซียมระดมจากโครงกระดูก. [8]เกี่ยวกับ 50,000 คนอเมริกันเสียชีวิต ในแต่ละปีปัญหาที่เกี่ยวข้องในทางที่จะเป็นโรคกระดูกพรุน. [9]
ภาพ
เปลี่ยนวาล์วตัวของหลอดเลือดจะทำเมื่อแคลเซียมมากเกินไปของแผ่นพับลิ้นหัวใจจะเกิดขึ้น ตามที่คลีฟแลนด์คลินิก, Fibro-calcific เสื่อมกันมากที่สุดส่งผลกระทบต่อวาล์วตัวของหลอดเลือด ตามรายงานของลิ้นหัวใจจนใจมักจะเกิดขึ้นในผู้ใหญ่อายุ 65 มากกว่าเมื่อใบปลิววาล์วจนใจ, แผ่นพับวาล์วกลายเป็น fibrotic (หนา) และจนใจ (แข็ง) ผลิตวาล์วเปิดลดลง อายุปัจจัยเสี่ยงสำหรับประเภทของโรคลิ้นนี้รวมที่เพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัวต่ำและความดันโลหิตสูง
ภาพ
รูปนี้แสดงให้เห็นถึงวาล์วตัวของหลอดเลือดที่มีส่วนในระยะสั้นของหลอดเลือดแดงใหญ่ที่อยู่รอบ ๆ วาล์วชัดเจนมีเพียงสอง cusps (สองแฉกวาล์วตัวของหลอดเลือด) และลดลงจนใจและหนาแน่น หากคุณวางปลายนิ้วของคุณผ่านการเปิดวาล์วจะรู้สึกหนักและทราย
วิลเลียมอา Quesnell เขียน ‘แร่: การเชื่อมโยงที่จำเป็นต่อสุขภาพกล่าวว่า “คนส่วนใหญ่ได้มาเชื่อโภชนาการคือหารและที่เป็นสารเดียวจะรักษาสุขภาพที่สดใส มลทินของแคลเซียมสำหรับโรคกระดูกพรุนโรคเสื่อมให้เป็นตัวอย่างที่ดี ทุกวันสื่อที่ทำหน้าที่เป็นพร็อกซี่สำหรับล็อบบี้นมแคลเซียมขายเป็น bullet มายากล มันทำงานได้? แน่นอนสำหรับการขายของนม แต่สำหรับสุขภาพของชาวอเมริกันที่ได้รับภัยพิบัติ. เมื่อคุณโหลดขึ้นระบบของคุณด้วยแคลเซียมส่วนเกินคุณปิดความสามารถของแมกนีเซียมเพื่อเปิดใช้งาน thyrocalcitonin ฮอร์โมนที่ภายใต้สถานการณ์ปกติจะส่งแคลเซียมให้กับกระดูกของคุณ. “
สาเหตุส่วนใหญ่ของการเสียชีวิตในผู้ป่วยที่ต้องฟอกไตเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด เพราะนี่คือส่วนหนึ่งในการปรากฏตัวของแคลเซียมหลอดเลือดส่วนเกินโดยเฉพาะอย่างยิ่งในรูปแบบของที่กว้างขวางแคลเซียมหลอดเลือดหัวใจซึ่งสามารถสังเกตได้แม้ในผู้ป่วยล้างไตหนุ่มสาวมาก. [10]การปรากฏตัวของแคลเซียมหลอดเลือดหัวใจในกลุ่มประชากรฟอกไตที่ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ ในส่วนที่มีปริมาณการกินของแคลเซียมที่มีส่วนผสมของสารฟอสเฟตในช่องปาก. [11]
สมาคมหมู่กลายเป็นปูนลิ้นอักเสบ carotid หลอดเลือดและเส้นเลือดแดงกลายเป็นปูนชี้ให้เห็นว่าลิ้นกลายเป็นปูนเป็นเครื่องหมายของหลอดเลือดและเส้นเลือดแดงแคลเซียมในผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย. [12]
การสำรวจการบริโภคอาหารที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่าแมกนีเซียม, แคลเซียมไม่บริโภคได้รับการลดลงในช่วงห้าสิบปี ปัญหานี้เป็นปัญหาเพราะมันเป็นแมกนีเซียมที่ควบคุมชะตากรรมของแคลเซียมในร่างกาย หากแมกนีเซียมแคลเซียมไม่เพียงพอที่จะนำมาฝากกันในเนื้อเยื่ออ่อน (ไตหลอดเลือดข้อต่อ, สมอง, ฯลฯ )
ประเทศที่มีแคลเซียมสูงที่สุดอัตราส่วนแมกนีเซียม (มีแคลเซียมสูงและระดับแมกนีเซียมต่ำ) ในดินและน้ำมีอุบัติการณ์สูงที่สุดของโรคหัวใจและหลอดเลือด ที่ด้านบนของรายการคือประเทศออสเตรเลีย ในระดับที่เพียงพอของแมกนีเซียมมีความจำเป็นสำหรับกล้ามเนื้อหัวใจ นักวิจัยบางคนคาดการณ์ว่าอัตราส่วนอเมริกันของแคลเซียมแมกนีเซียมเป็นจริงใกล้ 6 ต่อ 1 แต่อัตราส่วนการบริโภคอาหารที่แนะนำของแคลเซียมแมกนีเซียมในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็น 2 ต่อ 1 กระบวนการของการดูดซึมแมกนีเซียมจะคล้ายกับที่ของแคลเซียม แต่บางคนดูดซับหรือรักษาแมกนีเซียมมากขึ้นกว่าแคลเซียม (หรือแคลเซียมแมกนีเซียมมากกว่า) อัตราส่วนปัญหาทั่วไปเสริมการหดตัวของ 2: 1 แคลเซียมและแมกนีเซียมเป็นข้อสำหรับค่าสามารถเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญภายใต้สถานการณ์ของแต่ละบุคคลต่างๆ
การวิจัยในปัจจุบันเกี่ยวกับอาหารยุคหรือถ้ำแสดงให้เห็นว่าอัตราส่วนของแคลเซียมแมกนีเซียมในอาหารที่ร่างกายของเราพัฒนาไปกินเป็น 1 ต่อ 1. [13] Balancing ข้อมูลนี้เป็นความจริงที่ว่านมแม่เต้านมแคลเซียมสิบชิ้นส่วน เป็นเพียงส่วนหนึ่งแมกนีเซียมหนึ่งเพื่อให้ดูเหมือนว่าอย่างน้อยในช่วงต้นชีวิตเราต้องแมกนีเซียมน้อยและแคลเซียมมากขึ้นในการสร้างกระดูกให้แข็งแรงแม้ว่าปริมาณสูงแคลเซียมคาร์บอเนตถ่ายคนเดียวในระยะเวลานานของเวลาจะนำไปสู่ระดับแมกนีเซียมต่ำ[14]แมกนีเซียม สิ่งที่จำเป็นเพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้งานที่ถูกต้องของแคลเซียมโดยร่างกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกระดูก. [15]นักวิจัยประเมินว่าปัจจุบันอัตราส่วนควรจะมีสองส่วนแคลเซียมแมกนีเซียมหนึ่ง Part. [16]
โดยไม่ต้องแมกนีเซียมแคลเซียมไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่และอยู่ภายใต้การดูดซึมอาจเกิดปัญหาที่นำไปสู่โรคข้ออักเสบ, โรคกระดูกพรุนปวดประจำเดือนและอาการ premenstrual
ในทางตรงกันข้ามกับกล้ามเนื้อโครงร่างกล้ามเนื้อหัวใจไม่สามารถทำสัญญาในกรณีที่ไม่มีแคลเซียมไอออน extracellular เช่นเดียวกับโพแทสเซียมไอออน extracellular ได้.ในความรู้สึกนี้มันเป็นสื่อกลางระหว่างกล้ามเนื้อเรียบที่มีร่างแห sarcoplasmic พัฒนาได้ไม่ดีและเกิดแคลเซียมทั่ว Sarcolemma นั้น และกล้ามเนื้อโครงร่างซึ่งมีการเปิดใช้งานโดยแคลเซียมที่เก็บไว้ในร่างแห sarcoplasmic (อาร์) เหตุผลสำหรับการพึ่งพาแคลเซียมเป็นเพราะกลไกการทำงานของแคลเซียมเหนี่ยวนำให้เกิดการปล่อยแคลเซียม (CICR) จากอาร์ที่จะต้องเกิดขึ้นภายใต้การกระตุ้นปกติหด (EC) การเชื่อมต่อที่จะทำให้เกิดการหดตัว
ตามที่ดร. ซาร่าห์ MAYHILL “แคลเซียมและแมกนีเซียมในการแข่งขันสำหรับการดูดซึมและแคลเซียมมากเกินไปในอาหารที่จะปิดกั้นการดูดซึมแมกนีเซียม ความต้องการทางสรีรวิทยาของเราสำหรับแคลเซียมแมกนีเซียมเป็นเรื่องเกี่ยวกับ 2: 1 ในผลิตภัณฑ์นมอัตราส่วน 10: 1 ดังนั้นการบริโภคจำนวนมากของผลิตภัณฑ์นมจะทำให้เกิดการขาดแมกนีเซียม. “
อาหารสูงในนมและต่ำในธัญพืชสามารถนำไปสู่แคลเซียมส่วนเกินในเนื้อเยื่อและการขาดแมกนีเซียม. [17]– ดร. แคทรีน Fuchs น่าน

พีเอช

ทฤษฎีทั่วไปที่อยู่เบื้องหลังการบริโภคแคลเซียมเพิ่มขึ้นคือการที่แคลเซียมจะต่อสู้กับความเป็นกรดส่วนเกินจึงช่วยส่งเสริมสุขภาพที่ดี นี่คือความจริงเพียงครึ่ง: ในขณะที่ร่างกายใช้แคลเซียมเป็นกันชนแคลเซียมส่วนเกินยังสามารถส่งเสริมการกลายเป็นปูนของเนื้อเยื่ออ่อนแคลเซียมมากเกินไปวิ่งอาละวาดผ่านร่างกายของคุณเป็นอันตรายที่แท้จริงของความเป็นกรดส่วนเกิน มันอยู่ไกลดีกว่าที่จะเพิ่มปริมาณของบัฟเฟอร์อื่น ๆ เช่นแมกนีเซียมซึ่งจะปลอดภัย buffer ความเป็นกรดส่วนเกินโดยไม่ก่อให้ calcifications.แน่นอนการรับประทานอาหารที่เรียกว่าอาหารที่เป็นด่างและการ จำกัด ปริมาณของแร่ธาตุที่เป็นกรดเช่นฟอสฟอรัสยังอาจช่วย แร่ธาตุที่เป็นกรดสามารถนำไปสู่ calcifications ในสาระสำคัญที่อันตรายที่แท้จริงของความเป็นกรดเป็นส่วนเกินของแคลเซียม leeching ว่ามันเป็นสาเหตุที่ทำให้ ใส่เพียงแค่ความเป็นกรดเกินเท่ากับ calcifications เนื้อเยื่ออ่อน
ปฏิกิริยาทางเคมีของแมกนีเซียมเป็นด่าง (กรดผลผูกพัน) มันควบคุมความสมดุลของกรดด่างของร่างกาย.– ดร. เอชเรย์ Evers
ตามที่ดร P เคย์แผนกฉุกเฉิน, บริสตอโรงพยาบาลรอยัล, สหราชอาณาจักร “แมกนีเซียมทำหน้าที่เป็นคลายกล้ามเนื้อเรียบโดยการเปลี่ยนการไหลเข้าแคลเซียม extracellular และปฏิกิริยา phosphorylation ภายในเซลล์ นอกจากนี้ยังอาจเจือจางระเบิด neutrophilic ที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบหลอดลมตีบโดยลดทอน degranulation เซลล์เสา ทริกเกอร์หลักสำหรับ degranulation นี้เป็นการเพิ่มขึ้นของแคลเซียมภายในเซลล์ซึ่งเป็น antagonized โดยแมกนีเซียม มันได้รับการทดลองแสดงให้เห็นการขยายผลของ bronchodilatory salbutamol และฮีสตามีการยับยั้งการเหนี่ยวนำให้เกิดหลอดลม แมกนีเซียมควรจะใช้เป็นที่ปลอดภัยและง่ายต่อการจัดการและมีประสิทธิภาพตัวแทนบรรทัดที่สองในโรคหอบหืดเฉียบพลันรุนแรง. [18]
เจ้าหน้าที่การแพทย์อ้างว่าอุบัติการณ์อย่างแพร่หลายของโรคกระดูกพรุนและฟันผุในประเทศตะวันตกสามารถป้องกันได้ด้วยการบริโภคแคลเซียมสูง แต่ตรงข้ามเป็นจริง ประชากรในเอเชียและแอฟริกาที่มีปริมาณต่ำมากประมาณ 300 มิลลิกรัมแคลเซียมทุกวันโรคกระดูกพรุนมีน้อยมาก ผู้หญิงกระโชกมีปริมาณของ 200-300 มิลลิกรัมแคลเซียมรายวันมีอัตราการเกิดต่ำสุดของโรคกระดูกพรุนในโลกในประเทศตะวันตกที่มีการบริโภคสูงของผลิตภัณฑ์นมแคลเซียมเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1000 mg มีปริมาณแมกนีเซียมต่ำแคลเซียมออกไปจากกระดูกเพื่อเพิ่มระดับเนื้อเยื่อในขณะที่ปริมาณแมกนีเซียมสูงทำให้เกิดแคลเซียมออกมาจากเนื้อเยื่อเข้าไปในกระดูก ดังนั้นระดับแมกนีเซียมสูงนำไปสู่กระดูก
นรีแพทย์บางคนเชื่อว่าหนึ่งในอวัยวะแรกที่จะกลายเป็นปูนเป็นรังไข่ที่นำความตึงเครียดก่อนมีประจำเดือน
ดร. กะเหรี่ยง Kubena ศาสตราจารย์ของโภชนาการที่ Texas A & M University แสดงให้เห็นว่าแม้ว่าคุณจะตรวจสอบระดับแมกนีเซียมของคุณเหมือนคนบ้า, คุณยังมีความเสี่ยงสำหรับไมเกรนถ้าระดับแคลเซียมของคุณจะออกจากการทดลอง มันดูเหมือนว่าสูงกว่าระดับเลือดปกติของแคลเซียมทำให้ร่างกายขับถ่ายแคลเซียมส่วนเกินซึ่งจะก่อให้เกิดการสูญเสียของแมกนีเซียม “สมมติว่าคุณมีแมกนีเซียมพอเพียงและแคลเซียมมากเกินไปในเลือดของคุณ หากแคลเซียมจะถูกขับออกแมกนีเซียมไปกับมัน ทั้งหมดในทันทีที่คุณอาจจะอยู่ในระดับต่ำแมกนีเซียม “ดร Kubena กล่าวว่า
เป็นกฎทั่วไปสารกรดกระชับ; และสารอัลคาไลน์ผ่อนคลาย แมกนีเซียมเป็นด่างและผ่อนคลายร่างกายจากความหนาแน่นแรงตึงชักกระตุก, สำบัดสำนวนหรือ jerkiness ในขณะที่ความกังวลใจความวิตกกังวลความโกรธความกลัว, กระสับกระส่าย, ปวดหัว, ปวดกล้ามเนื้อ, ปวดประจำเดือนอาการโรคข้ออักเสบ, นอนไม่หลับ, ท้องผูก, การเต้นของหัวใจ ผิดปกติของหัวใจ, ความดันโลหิตสูงกระตุกตาสิวคราบจุลินทรีย์บนฟันคราบจุลินทรีย์บนหัวใจและหลอดเลือดเนื่องจากคอเลสเตอรอลสร้างขึ้นมอบโล่ประกาศเกียรติคุณในสมอง [เสื่อม]แมกนีเซียมทำหน้าที่เป็นประตูธรรมชาติหรือวาล์วในประสาทสมองที่ควบคุมการไหลบ่าเข้ามาของแคลเซียมเข้าไปในช่องแคลเซียม postsynaptic จากเซลล์ presynaptic ในส่วนของสมองที่มีส่วนร่วมในอารมณ์และพฤติกรรมเช่นฮิบโป ด้วยแมกนีเซียมไม่เพียงพอ (ความเป็นพิษแคลเซียม), ฟังก์ชั่นนี้จะกลายเป็นเปลี่ยนแปลงและหงุดหงิดวิตกกังวลซึมเศร้าสมาธิสั้น Mania, สำหรับผู้ที่บ้าสองขั้วความผิดปกติ, Hyper-ปลุกปั่นและ Hyper-emotionality และบางทีอาจจะโรคจิตบางผล
ค่า pH น้อยกว่า 5.3 บ่งชี้ว่าไม่สามารถที่จะดูดซึมวิตามินหรือแร่ธาตุ เนื่องจากความเป็นด่างของแร่ธาตุที่พวกเขาคลายเนื้องอกรวมทั้งเนื้องอก fibroid, endometriosis, ซีสต์, ไฝ, หูด, แท็กผิวและการเจริญเติบโตอื่น ๆ และทำให้พวกเขาจะปล่อยสารพิษของพวกเขาแมกนีเซียมควรจะใช้เพื่อบัฟเฟอร์กรดแคลเซียมไม่ได้ที่จะถูกชะล้างจากกระดูก
แมกนีเซียมถ่ายในปริมาณที่เหมาะสมสามารถแก้ปัญหาของการขาดแคลเซียม.– ดร. แคทรีน Fuchs น่าน
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าปริมาณแคลเซียมมากเกินไปอาจจะไม่ฉลาดในแง่ของการศึกษาล่าสุดแสดงให้เห็นว่าจำนวนเงินที่สูงของแร่อาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก “มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะขอแนะนำแคลเซียมที่อาจมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาของมะเร็งต่อมลูกหมากคือ” ดร. คาร์เมน Rodriguez, ระบาดวิทยาอาวุโสในการเฝ้าระวังทางระบาดวิทยาและแผนกวิจัยของสมาคมโรคมะเร็งอเมริกัน (ACS) กล่าวว่า Rodriguez กล่าวว่าการศึกษาปี 1998 ฮาร์วาร์โรงเรียนสาธารณสุข 47,781 คนพบว่าผู้บริโภคระหว่าง 1,500 และ 1,999 มิลลิกรัมของแคลเซียมต่อวันมีประมาณสองครั้งที่เสี่ยงต่อการถูกวินิจฉัยว่ามีแพร่กระจายของเนื้อร้าย (มะเร็งที่แพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย) มะเร็งต่อมลูกหมาก เป็นผู้ที่ได้รับ 500 มิลลิกรัมต่อวันหรือน้อยกว่า.และผู้ที่สละ 2,000 มิลลิกรัมหรือมากกว่ามีมากกว่าสี่ครั้งความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากระยะแพร่กระจายเป็นผู้ที่สละในเวลาน้อยกว่า 500 mg
เบี้ยเลี้ยงแนะนำ (RDA) ของแคลเซียม 1,000 มิลลิกรัมต่อวันสำหรับผู้ชายและ 1,500 มิลลิกรัมสำหรับผู้หญิง
ต่อมาในปี 1998 นักวิจัยฮาร์วาร์ตีพิมพ์ผลการศึกษาของการบริโภคผลิตภัณฑ์นมในหมู่ 526 คนได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากและ 536 คนที่คล้ายกันไม่ได้กับการวินิจฉัยโรค การศึกษาพบว่าการเพิ่มขึ้น 50% ในความเสี่ยงมะเร็งต่อมลูกหมากและเพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับความเสี่ยงของมะเร็งต่อมลูกหมากระยะแพร่กระจายในหมู่มนุษย์บริโภคปริมาณสูงของผลิตภัณฑ์นมน่าจะเกิดจากนักวิจัยกล่าวว่าเพื่อให้จำนวนสูงของแคลเซียมในอาหารดังกล่าว ฮาร์วาร์การศึกษาล่าสุดในหัวข้อการตีพิมพ์ในเดือนตุลาคมปี 2001 มองไปที่การบริโภคผลิตภัณฑ์นมในหมู่ 20,885 คนและพบว่าคนที่บริโภคผลิตภัณฑ์นมส่วนใหญ่มีความเสี่ยงที่สูงขึ้นประมาณ 32% ของการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากมากกว่าผู้บริโภคน้อยที่สุด ดร. Panagiota เอ็น Mitrou ของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ, Rockville, แมรี่แลนด์และเพื่อนร่วมงานพบสิ่งเดียวกันที่เพิ่มขึ้นการบริโภคแคลเซียมและผลิตภัณฑ์นมเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก

การรักษาด้วยโซเดียมไธโอซัลเฟต

โซเดียมไธโอซัลเฟต (STS) เป็นตัวแทนแคลเซียมคีเลตที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ.– ดร. คาร์ลออีอารยา
ภาพ
รูปที่ 1 (A) กระดูกสามเฟสเริ่มต้นสแกนแสดงให้เห็นถึงการสะสมของเนื้อเยื่ออ่อน
ในต้นขาขาอ่อนปลายแข้งใกล้ชิดและแขน มีการดูดซึมที่รุนแรงในคือ
กล้ามเนื้อหัวใจและการสะสมต้นในปอด (B) สามเดือนต่อมา
การสะสมแคลเซียมในต้นขาและแขนที่มีความสำคัญน้อย อย่างไรก็ตาม
ยังคงมีแคลเซียมในหัวใจปอดและพื้นผิวพาราข้อ
ผลโซเดียมไซโอในการก่อตัวของแคลเซียมไซโอในปัสสาวะซึ่งเป็นสารประกอบที่มีการละลายสูงกว่าเกลือแคลเซียมอื่น ๆ (ฟอสเฟตออกซาเลต) ดังนั้นโซเดียมไซโอไม่เพียง แต่สามารถยับยั้ง nephrocalcinosis ต่อไป แต่ในระดับบางคนก็อาจนำไปสู่ decalcification ของเนื้อเยื่อไต[19]
ผลประโยชน์ของโซเดียมไธโอซัลเฟต (STS) จะคิดว่าเป็นเพราะในส่วนของความสามารถในการเพิ่มประสิทธิภาพการละลายของเงินฝากแคลเซียม เอสทีมีน้ำหนักโมเลกุลขนาดเล็ก 248 (Na2S2O3) และผู้ป่วยที่มีการทำงานของไตปกติมีซีรั่มครึ่งชีวิตของ 15 นาที STS อำนวยความสะดวกในการชุมนุมของแคลเซียมจากเรือรับผลกระทบจากเงินฝากแคลเซียม
หลอดเลือดดำเอสทีดูเหมือนว่าประโยชน์มีผลข้างเคียงที่ไม่รุนแรงและเป็นที่ยอมรับอย่างดีในเด็กและผู้ใหญ่วัยหนุ่มสาว STS ปริมาณ 25 กรัม / 1.73 m2 ต่อยาฉีดเข้าเส้นเลือดดำ.– ดร. คาร์ลออีอารยา
ดร. คาร์ลออีอารยาเอตอัล[20]ใช้ประสบความสำเร็จนี้ค่อนข้างสารพิษที่ถูกรายงานว่ารักษาแบบเสริมของหลายเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของแคลเซียมสภาวะสมดุล Yatzidis อธิบายผลประโยชน์ของตนโดยการลดอัตราของการพัฒนานิ่วในไตใหม่ในผู้ป่วยที่มีแคลเซียม 34 urolithiasis กำเริบ ได้รับแจ้งจากผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมเหล่านี้ STS ทางหลอดเลือดดำเป็นยาหลังจากการฟอกเลือดให้กับผู้ป่วยที่มีสาม ESRD และ calcinosis เก็บตัวอย่างเป็นระยะเวลา 6 ถึง 12 เดือน สองของผู้ป่วยที่มีการถดถอยของมวลจนใจเช่นเดียวกับการปรับปรุงการเคลื่อนไหวของข้อต่อได้รับผลกระทบ เอสทีได้รับเป็นระยะเวลา 9 ปีให้กับผู้ป่วยที่มี nephrocalcinosis เป็นผลมาจากการทำงานของไตท่อประเภทดิสก์ 1. ไม่มีการเสื่อมสภาพต่อไปของสภาพของเขาเป็นและความสามัคคีของยาที่มาพร้อมกับการกำเริบของอาการจุกเสียดไต ดูบทต่อมาสำหรับเรื่องเต็มโซเดียมไธโอซัลเฟต

ค่าความเป็นกรดของร่างกายและแคลเซียม

ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพที่หลายคนเชื่อว่ามีเพียงหนึ่งโรค และที่หนึ่งเป็นโรคภาวะเลือดเป็นกรด ของเสียที่ผลิตจากอาหารที่มีกรดสูงและภาวะเลือดเป็นกรดเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญที่นำไปสู่กระบวนการชราและโรคต่างๆ เสียกรดจะถูกขับออกจากร่างกายมนุษย์ในรูปแบบของปัสสาวะหรือเหงื่อ แต่เสียไม่ได้ขับออกมาจะได้รับการหมุนเวียนรอบในเลือดในร่างกาย ของเสียที่เป็นกรดนี้จะค่อย ๆ สะสมในบางส่วนของเราเส้นเลือดฝอยและในที่สุดก็เกิดการอุดตันพวกเขาขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นผลมาจากนี้เซลล์ของร่างกายมนุษย์จะขาดของอุปทานของออกซิเจนและสารอาหารที่จำเป็น, การแสดงผลเซลล์เหล่านี้ไม่ได้ใช้งานในการทำสำเนา นั่นเป็นเหตุผลหลักว่าทำไมคนที่อายุ นอกจากนี้ยังมีเลือดฝอยเส้นเลือดอุดตันขึ้นการทำงานของอวัยวะในร่างกายมนุษย์สะสมของเสียที่เป็นกรดทุกจะเริ่มเสื่อมลงทำให้เกิดการเจ็บป่วยที่รุนแรงในระยะยาว
หนึ่งในสัญญาณเตือนแรกของภูมิประเทศทางชีวภาพที่เป็นกรดเป็นเงินฝากแคลเซียม การบริโภคอาหารของเราของแคลเซียมจะไม่รักษาขึ้นกับบัฟเฟอร์แคลเซียมที่จำเป็นและเรามีความกระตือรือร้นในการดึงแคลเซียมจากกระดูกและฟันของเรา ซึ่งทั้งหมดจะทำงานเหมือนรถไฟเล็ก ๆ น้อย ๆ จากกระดูกไปยังของเหลวและเซลล์เลือด ในฐานะที่เป็นภูมิประเทศทางชีวภาพของเราจะกลายเป็นกรดระดับค่า pH ของเราลดลง เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้เราเริ่มต้นการสูญเสียแคลเซียมจากเลือดกระดูกและเนื้อเยื่อ นี่คือกลไกความปลอดภัย ตอนนี้ระดับออกซิเจนภูมิประเทศทางชีวภาพของคุณลดลงออกจากคุณเหนื่อยและเหนื่อยช่วยให้เชื้อราเชื้อราปรสิตแบคทีเรียที่ไม่ดีและการติดเชื้อไวรัสที่จะเจริญก้าวหน้าและได้รับความไว้ทั่วร่างกาย เป็นที่น่าสนใจที่จะทราบว่าคุณมักจะไม่ได้มีเพียงบางส่วนของผู้บุกรุกเหล่านี้ ถ้าคุณมี Candida คุณมีแนวโน้มที่จะมีแบคทีเรียที่ไม่ดี, เชื้อราและปรสิตเพราะพวกเขาทั้งหมดอวดในพื้นที่เดียวกัน
ภาวะเลือดเป็นกรดอ่อน ๆ อาจทำให้เกิดปัญหาเช่น:
  • ความเสียหายที่เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดรวมถึงการหดตัวของหลอดเลือดและการลดลงของออกซิเจน
  • น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น, โรคอ้วนและโรคเบาหวาน
  • เงื่อนไขกระเพาะปัสสาวะและไตรวมทั้งนิ่วในไต
  • ภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  • การเร่งความเร็วของความเสียหายอนุมูลอิสระอาจจะเอื้อต่อการกลายพันธุ์เป็นมะเร็ง
  • แก่ก่อนวัย.
  • โรคกระดูกพรุน; อ่อนแอกระดูกเปราะกระดูกสะโพกหักและกระดูกสเปอร์ส
  • ปวดข้อปวดกล้ามเนื้อและการสะสมของกรดแลคติก
  • ที่ใช้พลังงานต่ำและความเหนื่อยล้าเรื้อรัง
การศึกษาเจ็ดปีที่ผ่านมาดำเนินการที่มหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนียซานฟรานซิสกับผู้หญิง 9,000 แสดงให้เห็นว่าผู้ที่มีภาวะเลือดเป็นกรดเรื้อรังที่มีความเสี่ยงมากขึ้นสำหรับการสูญเสียกระดูกกว่าผู้ที่มีระดับค่า pH ปกติ นักวิทยาศาสตร์ที่ดำเนินการทดลองครั้งนี้เชื่อว่าหลาย ๆ ของสะโพกหักที่แพร่หลายในหมู่ผู้หญิงวัยกลางคนจะเชื่อมต่อกับความเป็นกรดสูงที่เกิดจากการรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยอาหารสัตว์และต่ำในผัก นี้เป็นเพราะร่างกายยืมแคลเซียมจากกระดูกเพื่อสมดุลค่า pH. 
อเมริกันวารสารคลินิกโภชนาการ
ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดนักวิทยาศาสตร์ได้พบว่าในช่วงเวลาที่ร่างกายมนุษย์จะกลายเป็นหมดลงของแคลเซียม สารประกอบที่เรียกว่าโมโน Ortho แคลเซียมฟอสเฟตบัฟเฟอร์เคมีสำหรับเลือด บัฟเฟอร์นี้รักษาระดับอัลคาไลน์ (หรือขาดความเป็นกรด) ในเลือดของคุณ ไม่ว่าคุณจะตาย ถ้าระดับความเป็นกรดของเลือดของคุณเปลี่ยนแปลงแม้เพียงเล็กน้อยที่คุณจะตายทันที แต่เพื่อที่จะจัดหาแคลเซียมเพียงพอสำหรับบัฟเฟอร์เราจะต้องมีแคลเซียมเพียงพอที่จะถูกดูดซึมจากอาหารของเรา ถ้าไม่ได้ร่างกายของเราก็จะปล้นแคลเซียมที่จำเป็นจากกระดูกและฟันของเรา
เป็นกรดมากขึ้นเรากลายเป็นที่ยากก็คือออกซิเจนที่จะนำเสนอเพื่อให้ภูมิประเทศทางชีวภาพของเราก็จะกลายเป็นแบบไม่ใช้ออกซิเจนมากขึ้น โดยไม่ต้องให้ออกซิเจนเพียงพอแบคทีเรียที่ไม่เป็นมิตรไวรัสเชื้อราและเชื้อราสามารถมีชีวิตอยู่และประสบความสำเร็จ จากนั้นเซลล์ของเราไม่สามารถดำเนินการเกี่ยวกับฟังก์ชั่นที่ให้ชีวิตของพวกเขาในลักษณะที่มีประสิทธิภาพมากเพราะปฏิกิริยาเคมีทางชีวภาพของเราต้องการออกซิเจน
Cr. Dr.Sircus